สำรวจจำนวนสัตว์น้ำอ่าวคั้นกระได ในวันที่ประมงทำลายล้างเริ่มหายไป

“จีรศักดิ์  มีฤทธิ์”  ชาวประมงพื้นบ้านแห่งอ่าวคั้นกระได จ.ประจวบคีรีขันธ์ สะท้อนทรัพยากรสัตว์น้ำเพิ่มขึ้น  หลัง ศปมผ.ห้ามเครื่องมือประมงทำลายล้างออกเรือ  ด้านนักวิชาการชี้มาตรการรายย่อยยังไม่รอบด้าน  อาจไม่ได้ผลจริงในระยะยาว 

ปี 2541 “นายจีรศักดิ์  มีฤทธิ์”  ชาวประมงพื้นบ้านอ่าวคั้นกระได อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์    ตั้งคำถามกับตัวเองถึงสาเหตุที่สัตว์น้ำบนอ่าวแห่งนี้ลดน้อยลงอย่างน่าใจหาย  แม้เขาจะพยายามเปลี่ยนเครื่องมือทำประมงให้ตาอวนมีความถี่มากขึ้น  แต่ก็ไม่อาจจับสัตว์น้ำได้เหมือนเดิม

คำตอบที่เห็นได้ชัดที่สุดคือจำนวนเรือที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ  โดยมีทั้งเรือในพื้นที่และจากจังหวัดอื่น ๆ เข้ามาจับสัตว์น้ำไม่เว้นทั้งกลางวันกลางคืน  ซึ่งเรือแทบทุกลำรวมทั้งเรือของเขาเองล้วนใช้เครื่องมือประมงแบบทำลายล้าง  ทั้งอวนตาถี่  อวนลาก  อวนรุน  ที่กวาดต้อนทรัพยากรใต้ท้องน้ำแบบไม่เลือกชนิด  เป็นผลให้ลูกปลาไม่มีโอกาสเจริญเติบโต  เขาจึงตัดสินใจร่วมกับเพื่อนประมงพื้นบ้านที่รู้จักกันทิ้งเครื่องมือเหล่านั้น

 “เครื่องมือที่ลงทุนไปของผมทำเรือมา 5 หมื่น ของน้องเป็นแสน หลายคนก็ทำเรือมา 6-7 หมื่น  เราทิ้งเลยไม่เอาแล้วกองเก็บไว้ที่บ้าน  เราหยุดอวนตาถี่แล้วก็ทำงานอนุรักษ์อย่างซังกอ  เราทำได้ 7 วันปลามันกลับมาให้เราจับเหมือนเมื่อก่อนเราก็เห็นว่ามันได้ผล  แม้มันมีปลาเล็กเข้ามาแต่เราก็อดใจไว้  เดี๋ยวมันจะเป็นแบบเก่าอีก  ทุกคนก็เคารพในกฎกติกาตรงนี้”

แม้ช่วงแรกการหยุดเครื่องมือควบคู่ไปกับการอนุรักษ์จะเห็นผล  แต่ตลอด 20 ปีที่ผ่านมากลับไม่อาจต้านทานกับจำนวนเรือพาณิชย์ที่ใช้เครื่องมือทำลายล้างได้  บ้างเข้ามาหากินในเขตที่ชาวบ้านทำงานอนุรักษ์ไว้และจับลูกปลาในบริเวณนั้นไปหมด  บ้างมีเรืออวนลากกวาดเครื่องมือประมงพื้นบ้านที่ชาวประมงวางไว้จนเสียหาย  ความขัดแย้งระหว่างชาวประมงกันเองจึงเกิดขึ้น

เมื่อทะเลเป็นพื้นที่สาธารณะ  สงครามแย่งชิงทรัพยากรจึงมีให้เห็นทุกวัน  มือใครยาวกว่ามีเครื่องมือมากกว่า  ก็ได้จำนวนปลาที่เพิ่มขึ้น  ในขณะที่สัตว์น้ำแทบไม่เหลือให้เห็น

ชาวประมงพื้นบ้านอย่างจีรศักดิ์จึงจำเป็นต้องขายเรือ 1 ใน 2 ลำเพื่อนำเงินมาประทังชีวิต  ภรรยาที่เคยช่วยกันขายปลาก็ต้องทำงานในโรงงานเพิ่มด้วย แต่ถึงอย่างไรแม้จะเห็นเพื่อนชาวประมงคนอื่น ๆ เริ่มทยอยทิ้งเรือและเปลี่ยนอาชีพ  แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นทำอาชีพประมงและทำงานอนุรักษ์ต่อไป

สถานการณ์ที่รุนแรงขึ้น  และมาตรการที่ไร้การควบคุมเริ่มเห็นชัดเจนจนท้ายที่สุดสหภาพยุโรป หรืออียูให้ใบเหลืองแก่ประเทศไทย  เพื่อให้รัฐบาลไทยตระหนักถึงความสำคัญในการรักษาทรัพยากรทางทะเลและกำหนดให้เกิดการแก้ไขปัญหาการประมงแบบIUU  จึงนำมาสู่มาตรการของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายหรือ ศปมผ.ที่ประกาศยกเลิกเครื่องมือทำการประมงที่ทำลายทรัพยากรสัตว์น้ำ  ได้แก่ อวนรุน (ยกเว้นอวนรุนเคย) ไอ้โง่ อวนล้อมปลากระตักปั่นไฟ และโพงพาง เป็นผลให้เรือประมงพาณิชย์หลายลำที่ใช้เครื่องมือเหล่านี้ไม่สามารถออกเรือได้ดังเดิม 

ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนมาตรการนี้ก็เริ่มเห็นผล  อ่าวคั้นกระไดกลับมาสมบูรณ์ให้เห็นอีกครั้ง  จีรศักดิ์โชว์ปลาน้ำดอกไม้ขนาดเต็มวัย 5-6 กิโลกรัม  ที่ตกด้วยเบ็ดขึ้นมาจากลังน้ำแข็ง  ซึ่งภาพเหล่านี้ไม่เคยมีมาก่อนเมื่อครั้งเรือประมงแบบทำลายล้างยังคงมีให้เห็นทั่วอ่าว

“ไม่เคยมีปลาใหญ่ขนาดนี้มาก่อน  หลังที่เราอนุรักษ์ฟื้นฟูมา 7 ปี  ประกอบกับมาตรการของรัฐที่ทำให้เรืออวนลากอวนรุนลดจำนวนลง  ไม่กล้าเข้ามาในเขตปะการังซึ่งเป็นแหล่งอาหารของปลาสาก  ปลามันก็มีโอกาสได้โตและโตไวขึ้น  ซึ่งตัวนี้เราก็ไม่ได้ไปหามาไกล  หาออกจากฝั่งไปไม่กี่เมตรก็ตกมาได้แล้ว  ตัวนี้ราคาก็เกือบ 1,000 บาท  ซึ่งชาวประมงจะได้ประมาณ 2-4 ตัวต่อวัน”

นอกจากนั้นยังมีปลากระเบน  ที่เคยหายไปเป็น 10 ปีเพราะเรืออวนลากก็กลับมาให้เห็นอีกครั้ง  และยังมีปลาเก๋า  ปลาสร้อย  กุ้งแช่บ๋วย  ที่จับได้ขนาดใหญ่ขึ้นในปริมาณมากขึ้น

“นายชาตรี  กำลังแรง”  อีกหนึ่งชาวประมงพื้นบ้านก็เห็นความเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน “พอมาตรการมันออกมาในทะเลเรือน้อยลง สมดุลกับธรรมชาติและสมดุลกับสัตว์น้ำที่จับขึ้นมา  ทำให้ชาวประมงเรือเล็ก  ๆอย่างเราได้เข้าถึงทรัพยากรบ้าง  อย่างผมออกเรือไดหมึก  4 คืนได้มา 1 หมื่นบาทก็พออยู่ได้  พอให้ลูกได้ไปโรงเรียนอย่างไม่เดือดร้อน” 

จีรศักดิ์กล่าวเสริมว่าที่ผ่านมากรมประมงละเลยการควบคุม  จนทำให้จำนวนเรือประมงแบบทำลายล้างเพิ่มขึ้น  แต่เมื่อมาตรการดังกล่าวออกมา  จำนวนเรือที่ใช้เครื่องมือผิดประเภทก็ลดลง  ผลผลิตของชาวประมงเพิ่มขึ้น  แม้ไม่เพิ่มจนทันตาเห็น  แต่เชื่อว่าไม่กี่เดือนข้างหน้าถ้ามาตรการยังเข้มข้นเช่นนี้จำนวนสัตว์น้ำจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

“ดร.สุภาภรณ์  อนุชิราชีวะ”  ผู้จัดการโครงการประมงพื้นบ้าน-สัตว์น้ำอินทรีย์ มูลนิธิสายใยแผ่นดิน

นอกจากนี้เสียงจากนักวิชาการ “ดร.สุภาภรณ์  อนุชิราชีวะ”  ผู้จัดการโครงการประมงพื้นบ้าน-สัตว์น้ำอินทรีย์ มูลนิธิสายใยแผ่นดิน  เห็นว่าการไม่นิรโทษกรรมเรืออวนลากอวนรุน  และการหยุดเครื่องมือบางชนิดเป็นเรื่องที่ดี  แต่พบว่ารายละเอียดของมาตรการบางอย่าง  เช่นการกำหนดจำนวนวันของเครื่องมือบางชนิด  ยังไม่ได้ถูกคิดอย่างรอบด้าน  และไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่แท้จจริงของชาวประมง  ส่งผลให้การทำประมงบางชนิดที่ทำอย่างถูกต้องจำเป็นต้องหยุดเรือและสูญเสียรายได้  การกำหนดมาตรการจึงต้องนำทุกมิติรวมทั้งมิติของเศรษฐกิจมาคิดร่วมด้วย  จึงจะสามารถบังคับใช้ได้อย่างเห็นผลในระยะยาว

จีรศักดิ์ทิ้งท้ายถึงเพื่อนประมงพาณิชย์ที่หลายลำเดือดร้อนจากมาตรการที่เข้มงวด  จนต้องหยุดเดินเรือและขาดรายได้  แต่เชื่อว่าการบังคับใช้กฎหมายที่จริงจังจะทำให้ทะเลฟื้นตัวขึ้น  และต่อไปไม่ว่าจะเป็นประมงประเภทไหนก็จะมีสัตว์น้ำไว้ให้จับอย่างเพียงพอตลอดปี  รวมไปถึงคนไทยก็จะมีสัตว์น้ำตามฤดูกาลไว้บริโภค  ในสายตาประมงพื้นบ้านอย่างเขาจึงถือว่าเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

ขวัญชนก  เดชเสน่ห์  สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม  รายงาน