“ที่กองแร่ 50 ไร่ – คดีบริษัทฟ้อง 3 ชาวบ้าน” เชื้อไฟที่ยังคุ ที่เหมืองดงมะไฟ 

หลายคนมองว่าชาวบ้านดงมะไฟ หนองบัวบำภูได้ชัยชนะ หลังศาลปกครองตัดสินให้มีคำสั่งเพิกถอน ทั้งใบอนุญาตใช้ป่าสงวนและใบอนุญาตต่ออายุประทานบัตรเหมืองดงมะไฟไปแล้ว เมื่อ กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา 

มหากาพย์การต่อสู้ระหว่างคนดงมะไฟกับเอกชนเจ้าของเหมือง “บริษัท ธ.ศิลาสิทธิ จำกัด” ผู้ทำกิจการเหมืองหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง บนเนื้อที่กว่า 175 ไร่ ที่ยืดเยื้อยาวถึง 30 ปี ส่อเค้าว่าจะ “จบสวย” พร้อมคำประกาศพัฒนาดงมะไฟให้เป็น “ดินแดนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม-ประวัติศาสตร์ชุมชน” แทน “ดินแดนแห่งเหมือง” ตามการคาดการณ์ของหลายฝ่ายที่ติดตามกรณีมาต่อเนื่อง

แต่บททดสอบชาวดงมะไฟดูจะยังไม่จบ ล่าสุดยังคงมีเชื้อไฟอย่างน้อย 2 กองที่ยังคงคุกรุ่น รอวันจุดติด จากการเปิดเผยของคนในพื้นที่และทีมทนายที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือ “ความขัดแย้งว่าด้วยพื้นที่ป่าสงวน 50 ไร่ ที่บริษัทอ้างว่าได้รับอนุญาตให้ใช้กองแร่-ทำสำนักงาน-เก็บวัตถุระเบิด” และ “คดีที่บริษัทแจ้งความ 3 แกนนำชาวบ้าน ข้อหาขัดขวางการทำงานจนบริษัทเสียหาย” ที่สำคัญ บริษํทฯ ยันจะเดินหน้าขอใบอนุญาตใหม่

นราวิชญ์ เชาวน์ดี GreenNews รายงาน

3 ทศวรรษ “จากความรุนแรงในพื้นที่ สู่ข้อยุติในศาล”

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2536 มีการสำรวจพื้นที่ภูผายา ต.ดงมะไฟ อ.สุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู เพื่อขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีความอุดมสมบูรณ์ รวมถึงบริเวณภูผายาพบภาพ​​เขียนสีในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่ในปัจจุบันกรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งโบราณคดี ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองได้ ด้วยความกังวลดังกล่าวชาวบ้านจึงรวมตัวกันออกมาคัดค้าน

ทำให้ในปีต่อมามีการเปลี่ยนพื้นที่จากภูผายามาเป็นภูผาฮวกซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเก่ากลอยและป่านากลาง ต.ดงมะไฟ อ.สุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู การคัดค้านการขอทำเหมืองในพื้นที่ของชาวบ้านก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนในปี 2538 ชาวบ้าน 2 คนที่เป็นแกนนำในการคัดค้าน คือบุญรอด ด้วงโคตะ และสนั่น สุวรรณ ถูกลอบยิงเสียชีวิต

ซึ่งไม่ใช่ความสูญเสียครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นในปี 2542 กำนันทองม้วน คำแจ่ม และสม หอมพรมมา ถูกลอบยิงเสียชีวิต ชาวบ้านที่คัดค้านเหมืองหินต้องเสียชีวิตไปถึง 4 คน และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่สามารถหาผู้กระทำผิดมารับโทษได้

แม้จะเกิดความรุนแรงแต่ในปี 2543 บริษัท ธ.ศิลาสิทธิ จำกัด ได้รับประทานบัตรที่ 27221/15393 ให้ทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) เนื้อที่ 175 ไร่ 3 งาน 65 ตารางวา 

และการคัดค้านของชาวบ้านที่รวมกลุ่มกันในชื่อ “กลุ่มอนุรักษ์เขาเหล่าใหญ่-ผาจันได” ซึ่งยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

หลังจากใบอนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่หินปูน และใบอนุญาตเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเก่ากลอย และป่านากลาง เพื่อทำเหมืองหินปูน จะหมดอายุในเดือน ก.ย. 2553 บริษัทขอต่ออายุใบอนุญาตเพื่อทำเหมืองหินปูน และโรงโม่หินต่อไปอีก 10 ปี ซึ่งหน่วยงานที่มีหน้าที่ก็ได้อนุญาตทำให้บริษัทสามารถทำเหมืองหินได้จนถึง ก.ย. 2563 

แต่การอนุญาตดังกล่าวชาวบ้านตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการต่ออายุโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากในพื้นที่ยังมีความขัดแย้งกับประชาชน รวมถึง มติอบต. ที่อนุญาตก็ไม่ชอบมาพากล จนนำไปสู่การฟ้องศาลปกครองอุดรธานีของชาวบ้าน

จากความไม่ชอบมาพากลทำให้ตัวแทนชาวบ้านจำนวน 78 คน ยื่นฟ้องรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (จำเลยที่ 1) อธิบดีกรมป่าไม้ (จำเลยที่ 2) และผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู (จำเลยที่ 3) เมื่อ 19 ก.ย. 2555 ต่อศาลปกครองอุดรธานี เพื่อขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของหน่วยงานรัฐดังกล่าวซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งยังทำให้ชาวบ้านได้รับความเสียหายอันไม่อาจประเมินค่า และขอให้ศาลปกครองคุ้มครองการทำเหมืองแร่หิน จนกว่าคดีจะสิ้นสุด 

แต่กว่าศาลปกครองชั้นต้นจะตัดก็อีกเกือบ 6 ปีให้หลัง เมื่อ 14 มี.ค. 2561 โดยศาลตัดสิน 

  1. ให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนฯ เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เนื่องจากก่อนที่จะมีการขออนุญาตใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนฯ จะต้องมีมติอบต. ออกมาก่อน ซึ่งศาลมองว่า มติอบต.ดงมะไฟฟังไม่ขึ้นเนื่องจากไม่น่าเชื่อว่ามีการประชุมเพื่อรับรองมติจริง
  2. เพิกถอนคำสั่งต่ออายุประทานบัตรที่ 27221/15393 โดยให้มีผลนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา แต่คู่ความได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดคดีจึงยังไม่ถึงที่สุด ซึ่งกลุ่มได้ทำการยื่นขอคุ้มครองชั่วคราว เพื่อให้ยุติกระบวนการทำเหมืองแร่หินปูนจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา แต่ศาลไม่อนุญาตให้คุ้มครองชั่วคราว บริษัทจึงระเบิดภูผาฮวกทำเหมืองอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2563 ซึ่งเป็นวันที่ใบอนุญาตหมดอายุ

ก่อนที่ชาวบ้านจะได้รับชัยชนะอีกครั้งเมื่อศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นเมื่อ 17 ก.พ. 2566  

(ภาพ : เหมืองแร่หนองบัว)

“ใบอนุญาต” พื้นที่กองแร่ 50 ไร่ในเขตป่าสงวน

แม้ว่าจะมีคำสั่งศาลปกครองสูงสุดให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนฯ เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน และเพิกถอนคำสั่งต่ออายุประทานบัตรเหมืองแล้ว แต่ในทางปฏิบัติ กิจการเหมืองยังคงไม่ได้ยุติอย่างสิ้นเชิง ด้วยบริษัทยังคงมีพื้นที่อีก 50 ไร่ ที่ใช้เป็นที่กองแร่ ตั้งสำนักงาน และเก็บวัตถุระเบิด โดยอ้างว่ามีใบอนุญาตให้ใช้ป่าสงวน 

ข้อมูลจาก สำนักการอนุญาต กรมป่าไม้ ระบุว่าบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนฯ (เพื่อสร้างกองแร่) เนื้อที่ 50 ไร่ เป็นที่ที่บริษัทใช้เก็บสินแร่หิน เครื่องชั่ง รวมถึงเป็นสำนักงาน ซึ่งจะสิ้นสุดการอนุญาต 19 พ.ย. 2567

“ในตอนที่ชาวบ้านฟ้องต่อศาลปกครอง บริษัทยังไม่ได้รับอนุญาตเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนฯ (เพื่อสร้างกองแร่) นี้ ทำให้ชาวบ้านไม่ได้ยื่นเรื่องฟ้องพื้นที่ตรงนี้เข้าไปด้วย” สุรชัย ตรงงาม ทนายความจากมูลนิธินิติธรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม อธิบาย

“แต่ในความเห็นของผม มันควรจะหลุดไปด้วย ในเมื่อพื้นที่ทำเหมืองมันถูกเพิกถอนแล้ว เราเห็นว่าพ่วง มันพ่วงแน่ ๆ โดยหลักแล้ว เพราะว่ามันขอมาเพื่อใช้ประกอบการเหมืองแร่ พอศาลปกครองออกมาบอกว่าใบอนุญาตการเหมืองแร่ไม่ชอบ จะมาใช้ประโยชน์ตรงนี้อีกได้ยังไง” สุรชัย ให้ความเห็นเพิ่มเติม

 

(ภาพ : เหมืองแร่หนองบัว)

“ใบอนุญาตออกโดยมิชอบ?” ข้อกังขา

ล่าสุดของกลุ่มอนุรักษ์ฯ เดินทางไปยังองค์การบริหารส่วนตำบลดงมะไฟ เพื่อยื่นหนังสือให้อบต. เปิดเผยข้อมูลมติการประชุมสภาอบต.ดงมะไฟ กรณีการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัย ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเก่ากลอยและนากลาง เนื้อที่ 50 ไร่ (เพื่อสร้างกองแร่) ของ บริษัท ธ.ศิลาสิทธิ จำกัด 

และฉบับที่สอง ขอให้เปิดเผยข้อมูลรายงานการจ่ายค่าบำรุงพิเศษท้องที่ หรือค่าภาคหลวงแร่ หรือผลประโยชน์อื่นใดตามกฎหมาย ของ บริษัท ธ.ศิลาสิทธิ จำกัด ที่จ่ายให้กับ อบต.ดงมะไฟ

“เราอยากทราบข้อมูลว่าใบอนุญาต 50 ไร่ มีมติเห็นชอบของอบต.ดงมะไฟหรือไม่ ถ้าไม่มี ใบอนุญาตนี้ก็จะมิชอบ เราก็จะดำเนินการขอให้เพิกถอนต่อไป นอกจากนั้นก่อนหน้านี้เราก็ไปยื่นต่อกรมป่าไม้ที่มีอำนาจออกใบอนุญาตทำประโยชน์ในป่าสงวนฯ ให้ตรวจสอบ และเพิกถอนในอนุญาต แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีความคืบหน้า

สำหรับการยื่นหนังสือเพื่อให้เปิดเผยค่าภาคหลวงแร่ที่บริษัท ธ.ศิลาสิทธิ จำกัด ที่จ่ายให้กับ อบต.ดงมะไฟ ถ้าเราได้ข้อมูลนี้ เราจะสื่อสารกับชาวบ้านว่า ที่บริษัทเข้ามาทำเหมืองที่นี้ สิ่งที่เราได้มีความคุ้มค่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นจากเหมืองไหม ทั้งฝุ่นควัน เสียงระเบิด อย่างเหมืองทองเหมืองเลย ที่ทำเหมืองกว่า 10 ปี แต่ให้จ่ายค่าบำรุงแร่แค่ 8 หมื่นบาท” ไชยศรี สุพรรณิการ์ โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ PPM ให้สัมภาษณ์กับ GreenNews

(ภาพ : googlemap)

ความเสี่ยงคนในชุมชน จากวัตถุระเบิด

นอกจากปัญหาในพื้นที่ 50 ไร่ วัตถุระเบิด (รวมถึงสารแอมโมเนียมไนเตรท) เป็นอีกเรื่องที่สร้างความกังวลให้ชาวบ้านในพื้นที่ ไชยศรี เปิดเผย

“ในเดือน มี.ค. 2566 ที่ผ่านมาเกิดไฟป่าลุกลามใกล้กับจุดเก็บวัตถุระเบิดของบริษัท ซึ่งถ้าในอนาคตเกิดไฟป่าอีกแล้วไฟลามเข้าไปยังบริเวณเก็บวัตถุระเบิด ก็จะสร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก 

ซึ่งศูนย์ดำรงธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู บริษัท หน่วยงานราชการในพื้นที่ และชาวบ้านได้มีการจัดประชุมเพื่อค้นหาและประเมินแนวทางในการขนย้ายออกจากพื้นที่” ไชยศรีกล่าว

ในวันที่ 31 พ.ค.2566 ที่ผ่านมา อนุพงศ์ คำภูแก้ว รองผู้ว่าฯ กล่าวว่า ต้องพิจารณาตามความเหมาะสมว่าควรขนย้ายหรือไม่ หรือทำลายในพื้นที่เคยทำเหมืองแร่เลย แต่ต้องประเมินว่าอย่างไหนจะดีกว่ากันโดยดูจากปริมาณที่คงเหลือ และหน่วยอีโอดียืนยันว่าการทำลายจะไม่สงผลกระทบได ๆ กับพื้นที่

ทั้งนี้นักปกป้องสิทธิฯกลุ่มอนุรักษ์ฯยืนยันว่า ให้ขนย้ายออกไปทำลายที่อื่นเท่านั้น และต้องขนย้ายแค่ปุ๋ยแอมโมเนียมไนเตรทกับแก๊ปเท่านั้น จะไม่มีการขนแร่หินที่เหลือในพื้นที่ 50 ไร่ หรือพื้นที่เขตโรงโม่หินอย่างเด็ดขาด เพราะแร่หินที่กองอยู่บริเวณเขตโรงโม่หินได้มาจากประทานบัตรที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนประทานบัตร อีกทั้งพื้นที่ 50 ไร่ ที่ถูกขออนุญาตเข้าใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติฯเพื่อทำโรงโม่หินนั้นยังไม่ได้มีมติขององค์การบริหารส่วนตำบลดงมะไฟ (อ่านรายละเอียดผลการประชุม)

(ภาพ : เหมืองแร่หนองบัว)

บริษัทฯ ประกาศ “ขอใบอนุญาตใหม่”

“ในวันที่ศาลปกครองอุดรธานี อ่านคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ทนายความของบริษัทประกาศว่า ทางบริษัทจะดำเนินการขออนุญาตทำเหมืองอีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะต้องเริ่มกระบวนการใหม่ทั้งหมด

เขายังมีความหวังว่าจะมาเปิดได้ แต่ทางเราคิดว่ามีโอกาศน้อยมากที่เขาจะทำสำเร็จ แต่เขามีเงิน เขาเป็นกลุ่มทุนที่มีเงิน แล้วบางครั้งรัฐก็มีนโยบายเอื้อให้ด้วย อย่างบทเฉพาะการของ พรบ. แร่ 2560” ไชยศรี กล่าว

(ภาพ : เหมืองแร่หนองบัว)

คดีบริษัทฟ้อง 3 แกนนำชาวบ้าน

“เมื่อช่วงต้นเดือน พ.ค. 2566 หลังจากศาลปกครองสูงสุดมีคำตัดสิน 3 เดือน ปรากฎว่าชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ฯ ได้รับหมายศาล มีสาระสำคัญว่า ธีรสิทธ์ ตรีวัฒนสุวรรณ เจ้าของบริษัท ธ.ศิลาสิทธิ จำกัด เป็นโจทก์ 

ฟ้องชาวบ้าน 3 คน ขัดขวางเส้นทางขนแร่ ทำให้บริษัทฯ ส่งรายงานผลสิ่งแวดล้อมฯ ให้กับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดหนองบัวลำภูไม่ได้ ทำให้ถูกสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดฯ แจ้งความต่อ สภ.สุวรรณคูหา ซึ่งชาวบ้านยืนยันว่าบริษัทสามารถใช้เส้นทางอื่นได้ ในขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการของศาล” ไชยศรี เปิดเผย

(ภาพ : เหมืองแร่หนองบัว)

ดันเปลี่ยน “เหมือง” เป็น “แหล่งท่องเที่ยว”

“ชาวบ้านเข้าไปฟื้นฟูปลูกต้นไม้ในพื้นที่ตั้งแต่ปี 2564 หลังศาลมีคำสั่งเพิกถอน เราเปิดระดมทุนในเพจ เหมืองแร่หนองบัว ได้เงินมาประมาณ 50,000 บาท ก็นำมาฟื้นฟูพื้นที่ที่บริษัททำเหมืองไปประมาณ 60 ไร่ จากทั้งหมด 175 ไร่ ตอนนี้ต้นไม้ก็พอขึ้นบ้าง แต่ค่อนข้างที่จะโตช้า

และการอ้างสิทธิในการครอบครองพื้นที่ดังกล่าวของบริษัทฯ ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถเข้าไปฟื้นฟูพื้นที่ทั้งหมดได้อย่างที่ตั้งใจ

เมื่อก่อนภูผาฮวก มีทั้งกระรอง ลิง นกเขา ไก่ป่า แต่ในช่วงที่มีการทำเหมือง สัตว์ต่าง ๆ หายไปหมดเลย หลังจากมีการฟื้นฟูก็เริ่มมีหน้าดิน หญ้าขึ้นมาบ้าง ในอนาคตเราก็อยากให้พื้นที่กลับมาอุดมสมบูรณ์มากที่สุด สัตว์ต่างกลับมาเหมือนเดิมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้ก็เริ่มมีนก ไก่ป่า กระรอก กระแตกลับมาบ้างแล้ว และคิดว่าอีก 5 ปีลิงน่าจะกลับมาบ้าง

ช่วงที่ยังทำเหมืองอยู่ ตอนเช้ามีแต่เสียงรถขุดหิน รถแมคโค เสียงระเบิด แต่ปัจจุบันกลายเป็นเสียงนก เสียงกา เสียงธรรมชาติ

ชาวบ้านในพื้นที่มีความต้องการผลักดันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวให้ได้ในอนาคต 

สิ่งที่เราคาดหวังคือ 1. ปิดเหมืองหิน และโรงโม่ ซึ่งสำเร็จแล้ว 2. ฟื้นฟูภูผา ป่าไม้ ซึ่งตอนนี้ก็กำลังดำเนินการอยู่ 3. พัฒนาดงมะไฟเป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งกำลังทำอยู่ 

เราอยากทำให้พื้นที่ที่เคยเป็นเหมืองเป็นจุดชมวิว เป็นแหล่งท่องเที่ยว แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกท่องเที่ยวถ้ำ แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวิติศาสตร์ อารยธรรม ที่เป็นประวิติศาสตร์ยุคก่อน เนื่องจากพื้นที่ตรงนี้ก็มีทรัพยากรครบ มีการพบภาพเขียนสี กลอง มโหระทึก ไห 

ส่วนที่สอง แหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ยุคนี้เกี่ยวกับการต่อสู้ของชาวบ้านที่ลุกขึ้นมาปกป้องทรัพยากรธรรมชาติกว่า 29 ปี” ไชยศรี เปิดเผยเกี่ยวกับแผนการในอนาคตของพื้นที่ที่เคยเป็นเหมืองหินดงมะไฟ

อ่านเพิ่มเติม : 11 ปีแห่งการรอคอยคำพิพากษา บรรทัดฐานการรับรองสิทธิชุมชนด้านสิ่งแวดล้อม ชัยชนะที่ไม่หยุดนิ่งของ “กลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได” บทความโดย ENLAW

(ภาพ : ดวงดาว อิสสุริยะ)