โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ สั่งติดตาม-แก้ปัญหาสั้น-ยาว “กรณีการหายไปของวัสดุกัมมันตรังสี ซีเซียม137” กำชับ “สอบข้อเท็จจริง-หาคนผิด”
พร้อมเปิดเผย “5 รายงานการดำเนินการ” จากหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง : กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) สำนักงานจังหวัดปราจีนบุรี และกระทรวงสาธารณสุข

“พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามเหตุการณ์ กรณีการปนเปื้อนวัสดุกัมมันตรังสี ซีเซียม-137 (Cesium, Cs-137) ในโรงงานหลอมโลหะ จังหวัดปราจีนบุรี อย่างต่อเนื่อง
สั่งการกำชับแนวทางการทำงาน ป้องกันผลกระทบ วางแนวทางแก้ไขระยะยาวเพื่อปกป้องประชาชน รวมทั้งสั่งการให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติส่งชุดเฉพาะกิจลงพื้นที่ไปตรวจสอบหาข้อเท็จจริง ซีเซียม-137 หายออกจากโรงงานได้อย่างไร เพื่อหาตัวคนผิดมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้”
อนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยวันนี้ (22 มี.ค. 2566)

1. อว.-ปส. : ตั้งศูนย์ประสานงานฯ -พบปนเปื้อนสารในเตาหลอม-ระบบดูดฝุ่น-กรองฝุ่น
นอกจากนั้นโฆษกยังเปิดเผยว่าหน่วยงานต่าง ๆ มีการดำเนินการอย่างไรบ้างต่อกรณีซีเซียม-137 สูญหาย
“กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อเฝ้าระวังและติดตาม สถานการณ์เกี่ยวกับวัสดุกัมมันตรังสีซีเซียม-137 และสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจในการเฝ้าระวังและตอบสนองกรณีวัสดุกัมมันตรังสีซีเซียม-137 ในพื้นที่เกิดเหตุ ณ จังหวัดปราจีนบุรี
และดำเนินการตรวจสอบตรวจวัดระดับปริมาณรังสีในพื้นที่โรงงานหลอมโลหะที่เกิดเหตุ โดยพบการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีซีเซียม-137 ในเตาหลอมเหล็ก 1 เตา ในระดับต่ำ (0.07- 0.10 ไมโครซีเวิร์ตต่อชั่วโมง) และในระบบการดูดฝุ่น (Dust Filter) และระบบกรองฝุ่น ซึ่งเจ้าหน้าที่จะบรรจุลงในถุงขนาดใหญ่ และนำไปจัดเก็บรวมกับ 24 ถุงที่ตรวจสอบพบการปนเปื้อนก่อนหน้านี้
ขณะที่ในชิ้นส่วนอุปกรณ์ถ่ายเทน้ำเหล็กไม่พบการปนเปื้อน และจากการตรวจวัดระดับปริมาณรังสีบริเวณหน้าดินในพื้นที่โรงงาน และปริมาณรังสีในสิ่งแวดล้อม พบว่าระดับปริมาณรังสีอยู่ในระดับเท่ากับระดับปริมาณรังสีในธรรมชาติ (0.03-0.05 ไมโครซีเวิร์ตต่อชั่วโมง) ทั้งในพื้นที่โรงงานที่เกิดเหตุและพื้นที่โดยรอบโรงงาน รัศมีประมาณ 3 กิโลเมตร
ได้เก็บตัวอย่างน้ำ ดิน ในบริเวณโรงงานโดยรอบมาวิเคราะห์ และไม่พบว่าปนเปื้อน ขณะที่การตรวจวัดระดับรังสีไม่พบการฟุ้งกระจายในอากาศในอาคาร และไม่มีการปนเปื้อนออกมาภายนอก ซึ่งขณะนี้สารกัมมันตรังสีซีเซียมถูกบรรจุในถุงบิ๊กแบ็ก ซึ่งถูกควบคุมและจำกัดพื้นที่แล้ว
ส่วนสุขภาพของประชาชน ได้ตรวจสอบพนักงานภายในโรงงานกว่า 70 คน ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยง โดยได้เก็บปัสสาวะและเลือดเพื่อตรวจหาสารกัมมันตรังสีตามวิธีมาตรฐาน และจากการตรวจสอบประวัติสุขภาพย้อนหลัง 1 เดือนของประชาชนในจังหวัดปราจีนบุรีจากรายงานของโรงพยาบาลไม่พบประชาชนรายใดมีอาการสุ่มเสี่ยงว่าเจ็บป่วยจากการได้รับสารกัมมันตรังสี” อนุชา เปิดเผย

2. คพ. : ตรวจวัดรังสีในอากาศรอบโรงงาน-ชุมชน ไม่พบเกินมาตรฐาน
“กรมควบคุมมลพิษ ได้รายงานสรุปผลการตรวจวัดระดับรังสีในอากาศ วันที่ 21 มีนาคม 2566 บริเวณพื้นที่ 6 จุด รอบโรงงานและพื้นที่ชุมชน พบค่าระดับของรังสีอยู่ในช่วงของค่ารังสีพื้นหลังตามธรรมชาติ (natural background radiation) ซึ่งสรุปได้ว่า ไม่พบการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีซีเซียม-137 ในพื้นที่ชุมชนโดยรอบ” โฆษกเปิดเผย

3. สำนักงานจังหวัดปราจีนบุรี : จำกัดเขตปนเปื้อน-คนงานข่ายปนเปื้อน
“จังหวัดปราจีนบุรีได้ประกาศให้กันบริเวณโรงงานเป็นเขตควบคุม พร้อมยืนยันว่าซีเซียม-137 ที่ปนเปื้อนในฝุ่นโลหะถูกควบคุม และกำจัดอยู่ในพื้นที่เฉพาะ และดำเนินการตรวจหาสารปนเปื้อนในร่างกายของพนักงานทุกคนรวม 70 คน ทำการตรวจหาสารปนเปื้อนในร่างกายของพนักงาน แต่ไม่มีสารปนเปื้อนตามร่างกายของพนักงาน
“สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติได้ยืนยันยังอยู่ในพื้นที่ และทำการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง โดยมีความมั่นใจว่ายังไม่พบสารปกติ และได้มอบเครื่องตรวจวัดระดับรังสีแก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ติดตัวไว้ ซึ่งหากมีรังสีเครื่องตรวจวัดจะแสดงค่ารังสีปรากฏให้เห็น โดยให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที” โฆษกฯ กล่าว

4. สธ. : ตรวจสุขภาพชาวบ้านข่ายปนเปื้อนรอบโรงงาน-เตรียมติดตาม 5 ปี
“กระทรวงสาธารณสุขได้วางแผนรับมือหากเกิดการปนเปื้อนในร่างกาย แต่จนถึงขณะนี้ผลการตรวจสุขภาพเจ้าหน้าที่ในโรงหลอมและชาวบ้านโดยรอบ ยังไม่พบการปนเปื้อน และล่าสุด ได้เปิดสายด่วน 24 ชั่วโมง ให้ประชาชนโทรสอบถามข้อมูลหากสงสัยว่าเสี่ยง
ส่วนการตรวจสุขภาพชาวบ้านรอบโรงงาน อยู่ในแผนการตรวจอยู่แล้ว โดยตั้งเป้าว่า จะต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปอย่างน้อย 5 ปี” ข่าวทำเนียบรัฐบาลเปิดเผย” โฆษกฯ กล่าว

5. ยังไม่พบรายงานปัญหาสุขภาพ ตรวจเลือดคนงานอีกครั้ง 5 เม.ย.
“ยืนยันว่าจนถึงตอนนี้ยังไม่มีรายงานปัญหาสุขภาพของประชาชนจาก ซีเซียม-137 การตรวจเลือดของคนงานยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ และจะตรวจซ้ำอีกในวันที่ 5 เมษายน 2566″ โฆษกกล่าว
“ข้อมูลจาก ศ.นพ.วินัย วนานุกูล หัวหน้าศูนย์พิษวิทยาและหัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ความรุนแรงของซีเซียม-137 ซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสีรังสีที่มีผลต่อร่างกาย ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ปริมาณของรังสีที่ได้รับ ระยะเวลาที่ได้รับ ส่วนของร่างกายที่ได้รับ
สำหรับผลต่อร่างกาย แบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ 1. ผลในระยะสั้น เมื่อมีการสัมผัสทางผิวหนัง ทำให้เกิดผื่นแดง คัน บวม มีตุ่มน้ำหรือแผลเกิดขึ้น อาจมีขนหรือผมร่วงได้ หรือ ผลที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันเมื่อได้รับปริมาณที่สูงมาก จะมีอาการนำ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย หลังจากนั้นอาการจะหายไปชั่วคราวประมาณ 1-3 สัปดาห์ ต่อจากนั้นจะมีผลต่อ 3 ระบบหลักของร่างกาย ได้แก่ ระบบโลหิต ระบบทางเดินอาหารและระบบประสาท ทั้งนี้ขึ้นกับปริมาณสารที่ได้รับ 2. ผลระยะยาว ที่สำคัญคือ เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง
โดยสามารถรับสารซีเซียม-137 ได้ 2 ช่องทาง คือ 1. รับรังสีจากภายนอก (external radiation hazard) สามารถป้องกันได้โดยใช้หลัก TDS Rule (Time, Distance, Shielding) โดยใช้เวลาให้น้อยที่สุด อยู่ห่างจากต้นกำเนิดรังสีให้มากที่สุดและใช้อุปกรณ์ในการกำบังรังสี หรือ 2. รับรังสีจากแหล่งกำเนิดในร่างกาย (internal radiation hazard) ที่เกิดจากการสูดหายใจ (inhalation) หรือ รับประทาน (ingestion) สิ่งที่ปนเปื้อนซีเซียม
สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่สำคัญของทั้ง 2 ช่องทาง คือ ผู้ปฏิบัติงานอยู่ในบริเวณหรือช่วงเวลาที่เกิดเหตุ อย่างไรก็ตามจากรายงานค่าปริมาณรังสีในอากาศและตัวอย่างดินรอบ ๆ บริเวณพบว่ายังมีค่าใกล้เคียงกับปริมาณรังสีพื้นหลังซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย