หวัง “โมเดลจัดการป่ายั่งยืนสวีเดน” บนแนวคิด “ตัดไม้ได้ป่า” ช่วยให้ไทยต่อยอดและหาเจอ “โมเดลจัดการป่ายั่งยืนแบบไทย ที่ภาคเอกชนร่วมมีบทบาทสำคัญ” เริ่มจากเวทีแลกเปลี่ยนผ่าน “สัปดาห์แห่งความยั่งยืนของไทย–สวีเดน 2566”

จัดการป่ายั่งยืน “โมเดลสวีเดน”
“ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สวีเดนส่งออกไม้เป็นอันดับที่ 3 ของโลก มูลค่ารวมกว่า 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แต่ยังสามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียวที่เคยเหลือเพียง 25% เมื่อ 100 ปีก่อน เป็น 75% คือการใช้พระราชบัญญัติป่าไม้ (Forestry Act) ที่ทำให้ตัดไม้แต่ได้ป่า ถ้าตัดต้นไม้หนึ่งต้น ต้องปลูกเพิ่มอย่างน้อยสามต้น
นอกจากจะได้พื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นระบบนิเวศที่สมบูรณ์ช่วยดูดซับคาร์บอนลดผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้วยังช่วยให้คนอยู่ร่วมกับป่าใช้ประโยชน์จากป่าและมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูป่าไปพร้อมกันโดยได้ป่าไม้ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจช่วยสร้างงานสร้างรายได้ให้ประชาชนเช่นไม้สำหรับการก่อสร้างอาคารสมัยใหม่ไม้แปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์รวมถึงเศษไม้เหลือใช้เป็นเชื้อเพลิงชีวมวล
รัฐบาลสวีเดนหวังว่าโมเดลและประสบการณ์ที่นำมาแบ่งปันในวันนี้ จะเกิดความร่วมมือระหว่างสองประเทศเพื่อขยายแนวคิดแห่งความยั่งยืนนี้ต่อไป” ยอน ออสเตริม เกรินดาห์ล เอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทยกล่าวในเวที “Redegn Sustainable Forestry : The Innovative Forest Management” วานนี้ (17 มี.ค. 2566) ณ สำนักงานใหญ่เอสซีจี บางซื่อ

ภารกิจสำคัญ สถานฑูตไทยในสวีเดน
“ภารกิจสำคัญของสถานเอกอัครราชทูตฯ คือการสานพลัง สร้างนวัตกรรม สู่ความยั่งยืน โดยเชื่อมโยงความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อหาแนวคิดที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนแก่ประเทศไทย ซึ่งการบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนของสวีเดนที่นำมาเผยแพร่ในวันนี้
เป็นการเชื่อมโยงระหว่างป่าไม้ ชุมชน และเศรษฐกิจ ให้เติบโตไปพร้อมกัน เป็นการสร้างความผูกพันระหว่างป่ากับคนสอดคล้องกับพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เรื่อง “ปลูกต้นไม้ในใจคน”
ที่ต้องทำให้คนเข้าใจว่าเราปลูกต้นไม้ทำไม ประโยชน์คืออะไร ถ้าเราสามารถสร้างระบบอุตสาหกรรมและธุรกิจป่าไม้ที่ทำให้คนในชุมชนมีรายได้จากป่า เห็นคุณค่าจากป่า ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะร่วมกันบริหารจัดการป่าอย่างเหมาะสมและยั่งยืน
ซึ่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเรื่องแนวคิดการบริหารจัดการป่าในวันนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง และเป็นส่วนหนึ่งของสัปดาห์ แห่งความยั่งยืนของไทย สวีเดน ปี 2566” อรุณรุ่ง โพธิ์ทอง ฮัมฟรีย์ส เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงสตอกโฮล์ม กล่าว

“โมเดลน่าสนใจ นำมาปรับใช้” เอสซีจี
“เอสซีจีเห็นประโยชน์จากโมเดลจัดการป่ายั่งยืนของสวีเดน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของประเทศไทย เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ลองศึกษาและนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศ
ซึ่งเอสซีจีให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์พื้นที่ป่าในการทำเหมืองปูนซีเมนต์ เพื่อให้ระบบนิเวศอุดมสมบูรณ์ และขยายพื้นที่ป่าบก ป่าโกงกางและหญ้าทะเล รวมถึงการจัดการน้ำเพื่อบำรุงรักษาให้ป่าอุดมสมบูรณ์ในโครงการ ‘รักษ์ภูผามหานที’ โดยได้เพิ่มพื้นที่ป่าไปแล้ว1.2 ล้านต้น และสร้างฝายชะลอน้ำ 115,000 ฝาย ซึ่งช่วยชุมชนกว่า 306 ชุมชน 57,000 ครัวเรือน ทั่วประเทศ ใช้อุปโภค–บริโภคและการเกษตร ส่งต่อการจ้างงานกว่า 2,550 คน ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างรายได้เพิ่มกว่า 5 เท่า โดยมีเป้าหมายปลูกป่า 3 ล้านไร่ 150,000 ฝาย เพื่อดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ 5 ล้านตัน มุ่งสู่ Net Zero ในปี 2050 ตามแนวทาง ESG 4 Plus
นอกจากนี้ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์หรือเอสซีจีพี ที่มีการใช้ไม้ยูคาลิปตัสเป็นวัตถุดิบหลัก ได้นำระบบการบริหารจัดการสวนป่าอย่างยั่งยืน ตามมาตรฐาน Forest Stewardship Council (FSC) มาใช้กับพื้นที่ปลูกป่าเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมยูคาลิปตัสสายพันธุ์ใหม่ และใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อเพิ่มคุณภาพการปลูก
สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้เกษตรกรกว่า 3,800 ล้านบาทต่อปี” นิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าว
“สัปดาห์แห่งความยั่งยืนไทย–สวีเดน ปี 2566 กำหนดจัดระหว่างวันที่ 17-22 มีนาคม 2566 ด้วยเจตนาเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมระหว่างภาคส่วนต่างๆของไทยกับสวีเดนเพื่อช่วยส่งเสริมให้ไทยพัฒนาประเทศไปสู่ความยั่งยืนมากขึ้นโดยเฉพาะด้านป่าไม้และเมืองยั่งยืนและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน
ด้วยการระดมการแลกเปลี่ยนทุกภาคส่วน ทั้งในและต่างประเทศ มาร่วมกันศึกษา ต่อยอด และออกแบบการบริหารจัดการพื้นที่ป่าของประเทศไทยในรูปแบบใหม่ เพื่อให้มีพื้นที่ป่ามีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มมากขึ้น และสามารถนำประโยชน์จากป่าไม้ไปสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศและภูมิภาคได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป” เอสซีจี ระบุ

