จับตา “ทุนจีนดันเขื่อนบนสาละวิน ผ่านนักการเมืองไทย ในเฟส2 ผันน้ำยวม”

“โดยจะอ้างแก้น้ำขาดแคลนลุ่มภาคกลางไทย-พลังงานป้อนคาสิโนในฝั่งพม่าตรงข้ามแม่สอด” หนึ่งในประเด็นแลกเปลี่ยนสำคัญบนฝั่งสาละวิน แม่ฮ่องสอนวันนี้ ระหว่างการรวมตัวกันของตัวแทนเครือข่ายหลากหลายลุ่มน้ำไทยในวาระ “วันหยุดเขื่อนโลก” 

ก่อนร่วมกันแถลงจุดยืน “ปล่อยสาละวินไหลเสรี ไม่มีเขื่อนกั้น”

(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)

ข่าวลือ ข่าวร้าย ที่อาจกลายเป็นเขื่อนแรกกั้นสาละวิน

“ล่าสุดได้มีความเคลื่อนไหวจากลุ่มนักลงทุนจีนผ่านนักการเมืองไทยที่ผลักดันแผนการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำสาละวินทางด้านใต้ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนในประเทศพม่า และเป็นเฟสที่ 2 ของโครงการผันแม่น้ำยวมในประเทศไทย 

โดยให้เหตุผลเรื่องการขาดแคลนน้ำในลุ่มน้ำภาคกลางของไทย ขณะที่นักลงทุนจีนต้องการแหล่งพลังงานเพื่อใช้ในกิจการบ่อนคาสิโนในหลายพื้นที่ที่อยู่ตรงข้ามกับ อ.แม่สอด จ.ตาก” 

รายงานข่าวจากแม่ฮ่องสอนเปิดเผยหนึ่งในประเด็นที่มีการแลกเปลี่ยนกันกว้างขวาง กลางความกังวลของตัวแทนเครือข่ายชาวบ้านจากหลากหลายลุ่มน้ำไทยที่ไปรวมตัวกันในวาระ วันหยุดเขื่อนโลก (International Day of Actions for Rivers) ที่แม่ฮ่องสอน

(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)

รวมตัว-แถลงยืนยันจุดยืน “ไม่เอาเขื่อน”

“ตัวแทนเครือข่ายฯ ได้มีการจัดกิจกรรมสืบชะตาแม่น้ำสาละวินขึ้นที่บริเวณริมแม่น้ำสาละวิน หมู่บ้านสบเมย อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน โดยมีชาวบ้านจากลุ่มน้ำยวม เงา เมย สาละวิน เยาวชน และเด็กนักเรียนหลายร้อยคนเข้าร่วม

ในงานมีพิธีกรรมสืบชะตาแม่น้ำสาละวิน โดยชาวบ้านได้นำเหล้าพื้นบ้านและเนื้อหมูมาเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิที่คุ้มครองแม่น้ำ นอกจากนี้ยังมีการลอยแพไม่ไผ่ที่มีป้ายเขียนว่า “NO DAM” ลอยไปตามลำน้ำเพื่อสะท้อนถึงจุดยืนคัดค้านเขื่อน 

ตัวแทนชาวบ้านจากลุ่มน้ำต่างๆได้อ่านแถลงการณ์คัดค้านการสร้างเขื่อนผันแม่น้ำยวม ในโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้แก่เขื่อนภูมิพล และแสดงเจตนารมณ์คัดค้านการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำสาละวิน และเสนอให้ปกป้องแม่น้ำสาละวินให้ไหลอย่างอิสระ

มีการแลกเปลี่ยนถึงลุ่มน้ำสาละวินในประเด็นที่ว่า บริเวณนี้เคยเป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านร่วมกันเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการสร้างเขื่อนฮัตจี กั้นแม่น้ำสาละวิน ซึ่งเป็นโครงการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งห่างจากบ้านสบเมยไปตามลำน้ำ 47 กิโลเมตร โดยมีการร้องเรียนไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีและได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาผลกระทบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนในราวปี 2551 และนำไปสู่ข้อสรุปให้ชะลอโครงการจนถึงปัจจุบัน” รายงานข่าวระบุ

14 มีนาคม ของทุกปีถูกกำหนดให้เป็นวันหยุดเขื่อนโลก (International Day of Actions for Rivers) หลังจากการประชุมผู้เดือดร้อนจากเขื่อนทั่วโลกที่จัดขึ้นครั้งแรกที่เมืองคูริทิบา บราซิล 

(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)

เขื่อนบนสาละวิน “ความพยายามผลักดันที่ไม่เคยหยุด”

“บนแม่น้ำสาละวินมีความพยายามดำเนินการสร้างเขื่อนโดย กฟผ.แต่ได้รับการคัดค้านจากชาวบ้านและเครือข่าย ซึ่ง กฟผ.จ้างบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) 

แต่สุดท้ายมีการตรวจสอบจากสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อคณะกรรมการมาลงพื้นที่ซึ่งนำโดยเจ้าหน้าที่กฟผ. ปรากฏว่ามีเสียงระเบิดเกิดขึ้นที่สบเมย เพราะเป็นพื้นที่ที่ยังมีความรุนแรง และเขาไม่อยากให้สร้างเขื่อน 

เมื่อโครงการชะลอส่งผลให้แม่น้ำสาละวินในวันนี้ยังมีระบบนิเวศที่ดี การไหลของแม่น้ำยังคงความเป็นธรรมชาติ 

แม่น้ำสาละวินมีความหลากหลายชาติพันธุ์ จุดยืนของชุมชนมในการอนุรักษ์ทรัพยากรทำให้สาละวินหลุดรอดจากการสร้างเขื่อนมาได้ เพราะผลประโยชน์ของแต่ละกลุ่มไม่สามารถฮั้วกันได้ ตนเคยไปที่ปากแม่น้ำ

สาละวิน ในรัฐมอญ พบว่าชาวบ้านไม่ได้รับข้อมูลแบบตรงไปตรงมา เสนอว่าควรให้แม่น้ำไหลอิสระต่อไป และการวางแผนในโครงการพัฒนาใดๆ จำเป็นต้องเคารพสิทธิชุมชน” หาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ กล่าวสถานการณ์แม่น้ำสาละวิน ในเวทีเสวนาที่จัดขึ้นในช่วงเย็นวันที่ 13 มีนาคม ที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งของกิจกรรมวันหยุดเขื่อนโลกครั้งนี้

(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)

เสียงจากพื้นที่ยังคงชัดเจน “ไม่เอา”

“ตั้งแต่เด็ก ตนเห็นความพยายามเข้ามาสร้างเขื่อน แต่ผู้ผลักดันโครงการไม่สามารถตอบคำถามชาวบ้านได้ว่าผลกระทบจะเป็นอย่างไร จะเยียวยาชุมชนได้อย่างไรหากระบบนิเวศถูกทำลาย จึงคิดว่าเราต้องลุกขึ้นมาต่อสู้กันในฐานะลูกหลานที่ต้องปกป้องแม่น้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตเรามา ตนและเด็กรุ่นใหม่จึงร่วมกันทำงานสืบต่อจากคนรุ่นเดิม เราต้องตะโกนดังๆ ให้ผู้ใหญ่รับฟังว่าพวกเรา ลูกหลานของแม่น้ำสาละวินต้องการอนาคตอย่างไร เพราะการดำเนินการของคนรุ่นนี้มีผลกับคนรุ่นต่อไป” ลาหมึทอ ดั่งแดนวิมาน เยาวชนบ้านท่าตาฝั่ง ริมแม่น้ำสาละวิน กล่าว

“ภาพของแม่น้ำสาละวินในทางสาธารณะดูน่ากลัว ว่าเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน แต่หากใครได้มาสัมผัสจริงๆ จะเห็นสิ่งดีๆ ธรรมชาติที่งดงาม ลุ่มน้ำสาละวินมีเรื่องราวมากมาย มีผู้คนที่อาศัยอยู่จำนวนมากแต่มักถูกมองข้าม หากเกิดอะไรขึ้นกับแม่น้ำสายนี้ก็จะส่งผลกระทบกับคนจำนวนมาก 

ที่สำคัญการจะเกิดสันติภาพในสาละวินได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับความเข้าใจและการอยู่ร่วมกัน ดังนั้นเมื่อเกิดโครงการขนาดใหญ่ชาวบ้านจึงต้องออกมาคัดค้าน หากมีการสร้างเขื่อนฮัตจี ความสวยงามที่เห็นอยู่ก็หายไป 

ทุกวันนี้มีเด็กอีกฝั่งหนึ่งของสาละวินไม่รู้กี่แสนคนต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ ตามป่าเขาเพราะไม่รู้ว่าระเบิดหรือปืนใหญ่จะมาลงหมู่บ้านเมื่อไร คนไหนดวงดีก็รอด ดวงไม่ดีก็ประสบอันตราย เมื่อถูกโจมตีคนเฒ่าคนแก่อายุ 70-80 ปีต้องให้ลูกหลานแบกหนีข้ามแม่น้ำมาอยู่ฝั่งไทย แบกกันไปมาบางทีต้องเสียชีวิตระหว่างทาง ผู้หญิงหลายคนต้องคลอดลูกอยู่ในป่า หลายครั้งที่ทารกต้องเสียชีวิต สิ่งเหล่านี้คือสถานการณ์ในปัจจุบัน เรื่องมนุษยธรรมจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่เราต้องช่วยกัน ดังนั้นการพัฒนาโดยเฉพาะโครงการใหญ่ต้องไม่กระทบซ้ำเติมพวกเขา” พงษ์พิพัฒน์ มีเบญจมาศ นายกสมาคมฟื้นฟูลุ่มน้ำสาละวิน และนายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่สามแลบ อ.สบเมย กล่าว

(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)

“ผันน้ำยวม” กสม. จะพิจารณาเสร็จสิ้นเดือนนี้”

“มีการร้องเรียนเรื่องโครงการผันน้ำยวมซึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำสาละวิน คาดว่า กสม.จะพิจารณาแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนมีนาคมนี้ และจากการตรวจสอบอีไอเอโดยเฉพาะเรื่องกระบวนการการมีส่วนร่วมโดย กสม.ได้ลงพื้นที่และสอบถามข้อเท็จจริงจากชาวบ้าน นอกจากนี้การผันน้ำจากภาคเหนือไปสู่ลุ่มน้ำภาคกลางเกี่ยวกันกับสิทธิชุมชนด้วย และยังมีเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (Business and Human Rights) ซึ่ง กสม.ได้พิจารณากติกาสากล

ส่วนตัวคิดว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เพราะเป็นเรื่องที่กำหนดมาจากส่วนกลางแล้วมากระทบต่อชาวบ้านในท้องถิ่น เราต้องดูว่าเป็นการพัฒนาที่เอามาลงนั้นเป็นการพัฒนาแบบยังยืนหรือไม่ หากตรวจสอบแล้วเสร็จ ชาวบ้านสามารถใช้ข้อมูลขับเคลื่อนต่อไปได้  อยากเป็นกำลังใจให้ชาวบ้านซึ่งจำเป็นที่ผู้ได้รับผลกระทบต้องออกมาส่งเสียงดัง เพราะคนอื่นอาจไม่รู้หรือเข้าใจ กสม.จะทำข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาล” ปรีดา คงแป้น กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)กล่าว

(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)

สายสัมพันธ์ “โขง–สาละวิน”

“วันหยุดเขื่อนโลก เรามาที่แม่น้ำสาละวินในทุกๆ ปี โดยมีเหตุผลว่าเราเป็นลูกแม่น้ำโขงได้รับความเจ็บปวดจากเขื่อนมา 25 ปี เราไม่อยากให้เกิดความเจ็บปวดเช่นนี้กับพี่น้องของเรา จึงต้องมาย้ำบอกว่าหากมีเขื่อนเกิดขึ้น 

แม่น้ำสาละวินและโขงเป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน ผลกระทบจากเขื่อนแม่น้ำโขงย่อมเกิดที่แม่น้ำสาละวินหากมีการสร้างเขื่อน การผันผวนของน้ำจะเกิดขึ้น ความเสียหายต่อระบบนิเวศที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตชุมชน หากเกิดเขื่อน แม่น้ำสาละวินจะหลุดออกจากอ้อมกอดของประชาชนเหมือนกับที่เกิดขึ้นในแม่น้ำโขง เราหวังว่าอย่างน้อยมีสัก 1 สายน้ำที่ยังบริสุทธิ์ยังคงอยู่ เราอยากเห็นว่าแม่น้ำในธรรมชาติจริงๆ เป็นอย่างไร 

เราเชื่อมร้อยทำงานร่วมกันระหว่างโขงและสาละวิน มีครั้งหนึ่งแม่น้ำโขงแห้งเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้เรือข้ามไม่ได้ เพราะเขื่อนตัวที่ 4 ในจีนกักเก็บน้ำ นักวิชาการต่างโทษว่าเกิดจากสภาวะโลกร้อน แต่เราไม่เชื่อเพราะแม่น้ำโขงเปลี่ยนแปลงยากจากผลกระทบในธรรมชาติ เมื่อเรามาแม่น้ำสาละวินในตอนนั้น กลับไม่มีปัญหาผลกระทบอะไรเลย ทั้งๆ ที่เป็นแม่น้ำที่มีระบบนิเวศทุกอย่างคล้ายกัน มีอย่างเดียวที่แตกต่างกันมากคือสาละวินไม่มีเขื่อน แต่แม่น้ำโขงมีแล้ว 

ดังนั้นสาละวินจึงมีความหวัง พวกท่านต้องยืนหยัดปกป้องแม่น้ำสายนี้ไว้ให้ได้ ตอนนี้มีหวังเพราะเยาวชนคนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาปกป้องสาละวิน มีคนถามว่าครูตี๋ยังมีความหวังกับแม่น้ำโขงอยู่หรือ ผมตอบว่ายังมีความหวังเพราะเราเห็นวิธีคิดของเด็ก ผมไม่หวังแล้วกับคนแก่เพราะคิดเหมืดนเดิมที่จ้องแต่ทำลาย เราต้องรีบมอบเรื่องสังคมสิ่งแวดล้อมให้อยู่ในมือของเยาวชนโดยเร็วที่สุด” นิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ กล่าว

“ขณะนี้กระแสอนุรักษ์ระดับนานาชาติให้ความสำคัญกับประเด็นสิทธิของแม่น้ำ และสิทธิของธรรมชาติ (Rights of Rivers) เพราะเหลือแม่น้ำไม่กี่สายในโลกที่ยังคงความเป็นธรรมชาติและมีระบบนิเวศที่สมบูรณ์ แม่น้ำสาละวินก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่ไหลจากต้นธารบนเทือกเขาหิมาลัยสู่ทะเลอันดามันโดยปราศจากการรบกวน ปัญหาสิ่งแวดล้อมในขณะนี้หลายฝ่ายหันมามองการใช้ธรรมชาติเป็นทางออก และการให้ความสำคัญแก่ชุมชนและผู้หญิงในการร่วมจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน” เพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการรณรงค์ภูมิภาค องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) กล่าว

ประมวลภาพ “วันหยุดเขื่อนโลก 2566”

ริมฝั่งสาละวิน แม่ฮ่องสอน

ภาพโดย : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix

(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)
(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix)