หลังยื่นฟ้อง “7 หน่วยงานรัฐ (7 กรม 5 กระทรวง) เมื่อ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา ข้อหา “ละเลยการปฏิบัติหน้าที่-ล่าช้า-แก้ปัญหาประมาท” เรียกร้อง 3 ข้อ “ชดเชย-เยียวยา-กองทุนฯ-ออกกฎหมายป้องกันและจัดการน้ำมันรั่ว”
บ่ายวันนี้ 837 ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำมันรั่วได้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งจังหวัดระยอง เรียกร้องให้บริษัท SPRC จ่ายค่าชดเชยเยียวยา และค่าฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมทะเล จากการ “ก่อมลพิษ” ของบริษัท

ฟ้องแพ่ง SPRC
ราว 13.00 วันนี้ (23 ม.ค 2566) สมาคมประมงพื้นบ้านท้องถิ่นระยองพร้อมด้วยโจทย์รวม 837 คนได้เดินทางไปศาลระยองยื่นฟ้องบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC จากเหตุที่บริษัททำน้ำมันรั่วเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2565 ปีที่ผ่านมา
โดยผู้ได้รับผลกกระทบกว่า 837 รายดังกล่าว รวมถึงชาวประมง แม่ค้า ผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดระยอง

ฟ้องปกครอง 7 กรม
วันที่ 20 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา กลุ่มผู้เสียหายดังกล่าวกว่า 837 ราย ได้ร่วมกับสมาคมประมงพื้นบ้านท้องถิ่นระยองและทีมทนายความจาก Rising Sun Law ได้เดินทางไปศาลปกครองระยอง ยื่นฟ้องหน่วยงานรัฐ 7 หน่วยงาน คือ กระทรวงการคลัง ที่ 1, กระทรวงมหาดไทย ที่ 2, กรมเจ้าท่า ที่ 3, กรมธุรกิจพลังงาน ที่ 4, กรมประมง ที่ 5, กรมทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง ที่ 6 และกรมควบคุมมลพิษ
เหตุหน่วยงานรัฐละเลยการปฏิบัติหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า ในการบริหารจัดการเหตุน้ำมันรั่วที่ระยอง ปี 65 เป็นเหตุให้ทะเลระยองเกิดความเสียหายเกินสมควร ยากต่อการเยียวยา
“ทั้ง 7 ซึ่งมีหน้าที่ตามกฎหมายในการบริหารจัดการเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลอย่างต่อเนื่องกลางทะเลจังหวัดระยองกว่า 400,000 ลิตร จากจุดขนถ่ายน้ำมันในทะเล (SINGLE POINT MOORING SYSTEM) ของบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2565 และป้องกันผลกระทบที่จะเกิดแก่ระบบนิเวศ ทรัพยากรทางทะเล และวิถีชีวิตของประชาชน
แต่กลับละเลยในการป้องกันเหตุหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า ประมาทเลินเล่อในการแก้ไขปัญหา กล่าวคือ อนุญาตให้ใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมันอย่างผิดวิธีและเกินจำเป็น อีกทั้ง ยังละเลยต่อการสำรวจประเมินมูลค่าความเสียหายของทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลซึ่งส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชนผู้ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านและอาชีพต่อเนื่องกับการประมง พ่อค้า แม่ค้า และผู้ประกอบการท่องเที่ยวจนได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง
ครบ 1 ปีแล้ว แต่ยังไม่เห็นการแก้ใขและรับผิดชอบในด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงความเสียหายของทรัพยากร และมีแผนการฟื้นฟูที่เกิดการยอมรับได้จริง” ตัวแทนผู้ฟ้องเปิดเผยถึงเหตุผลที่ตัดสินใจยื่นฟ้อง

เผย “10 ปีแห่งการรั่ว-ละเลย-ไร้การฟื้นฟู”
“ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2556 เกิดเหตุให้ท่อขนส่งน้ำมันของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) แตก จนมีน้ำมันดิบไหลทะลักออกมาในทะเลเป็นปริมาณมาก และจากการขาดระบบควบคุมการเปิดปิดวาล์วน้ำมัน และการตรวจสอบสภาพท่อส่งน้ำมันและวิธีการส่งถ่ายน้ำมันที่ดีพอ ทำให้การรั่วไหลของน้ำมันดิบเกิดขึ้นเป็นเวลานาน ปริมาณน้ำมันรั่วไหลลงสู่ท้องทะเลไม่น้อยกว่า 50,000 ลิตร
อีกทั้ง บริษัท พีทีที โกบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ยังเลือกใช้วิธีการฉีดพ่นสารเคมีขจัดคราบน้ำมัน เช่นเดียวกับที่บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) ในเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวิธีที่ก่อให้เกิดผลเสียหายต่อทรัพยากรทางทะเลและสิ่งแวดล้อม
เนื่องจากสารเคมีที่ใช้เพื่อสลายคราบน้ำมัน เป็นสารอันตรายเพราะจะทำให้น้ำมันดิบแตกตัวออก แล้วจับตัวกับสารเคมีกลายเป็นตะกอนจมลงสู่ก้นทะเล ทำให้สารอันตรายในน้ำมันดิบละลายปะปนกับน้ำทะเลเป็นระยะเวลายาวนาน ส่งผลกระทบต่อทั้งวิถีชีวิต ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล และเศรษฐกิจภายในจังหวัดระยองเป็นอย่างมาก
มากไปกว่านั้น ตั้งแต่เกิดเหตุน้ำมันรั่วที่ระยองในปี 2556 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นเวลาเกือบ 10 ปีแล้ว ทะเลในพื้นที่จังหวัดระยองยังไม่ได้รับการฟื้นฟูแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ
ชาวประมง แม่ค้าและอาชีพอื่นที่เกี่ยวข้องกับอาชีพประมงยังคงได้รับผลกระทบจากเหตุดังกล่าว รายได้จากการประกอบอาชีพยังคงน้อยกว่าก่อนเกิดเหตุน้ำมันรั่วและทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์น้ำก็ยังไม่ฟื้นฟูกลับมาระดับที่เคยเป็นก่อนเกิดเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลในปี 2556” ตัวแทนฯ กล่าว

3 ข้อเรียกร้อง “คดีปกครอง”
“เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลลงสู่ทะเลจังหวัดระยองอีกครั้งในต้นปี 2565 เปรียบเสมือนกับการซ้ำเติมชีวิตของผู้ที่มีวิถีชีวิตใกล้ชิดและพึ่งพาอาศัยทรัยากรธรรมชาติทางทะเลจังหวัดระยอง
ผู้ฟ้องคดีทั้ง 837 ราย ซึ่งมีวิถีชีวิตเป็นประมงชายฝั่ง หรืออาศัยและประกอบอาชีพบริเวณชายฝั่ง ได้รับความวิตกกังวล และเดือดร้อน กระทบวิถีชีวิตเป็นอย่างมาก โดยคาดการณ์ได้ว่า อาจต้องใช้เวลามากกว่า 10 ปี กว่าทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลจังหวัดระยองจะสามารถฟื้นฟูขึ้นใหม่ได้ ผู้ฟ้องคดีทั้งหมดจึงขอให้ศาลปกครองมีคำพิพากษา หรือมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้
1. ให้มีการออกกฎ ระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการรับมือแก้ไขและป้องกันสถานการณ์น้ำมันดิบรั่วไหล และมาตรการฟื้นฟูทรัพยากรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและหลักเกณฑ์การกำจัดน้ำมัน ต้องมีการสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด และเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการฟื้นฟูดังกล่าวด้วย
2. ต้องปฏิบัติหน้าที่ในการเรียกให้บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยการเรียกให้บริษัทดังกล่าวจัดตั้ง “กองทุนฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อ่าวระยอง” ด้วยงบประมาณของบริษัท โดยในกองทุนดังกล่าว ต้องมีตัวแทนจากภาคประชาชนเข้ามีส่วนร่วมกับหน่วยงานราชการที่มีหน้าที่ฟื้นฟูทรัพยากรทะเลและชายฝั่งและบริษัท ในการกำหนดและเสนอแนวทางการฟื้นฟูทรัพยากรทีได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำมันรั่วในคดีนี้
3. ต้องร่วมกันหรือแทนกันรับผิดชอบ “เยียวยา-ชดใช้ความเสียหาย” อันเกิดจากการละเมิด จนเป็นเหตุทำให้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและสัตว์น้ำได้รับความเสียหาย ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและการประกอบอาชีพของผู้ฟ้องคดีทั้งหมด และรับผิดเยียวยาชดใช้ค่าเสียโอกาสในการประกอบอาชีพในอนาคตของผู้ฟ้องคดี” ตัวแทนทนายระบุ
“เราต้องการให้มีการออกกฎระเบียบ หรือข้อบังคับเกี่ยวกับการรับมือ แก้ไขและป้องกันสถานการณ์น้ำมันดิบรั่วไหล รวมทั้งมาตรการฟื้นฟูทรัพยากรทะเลที่ได้รับผลกระทบ
ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้บริษัทต้นเหตุทำน้ำมันรั่ว ดำเนินการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวระยอง โดยใช้ผลกำไรสุทธิร้อยละ 10 ต่อปี เป็นระยะเวลา 10 ปี
และขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องทั้ง 7 หน่วยงานรับผิดชอบเยียวยาชดใช้ความเสียหายที่ทำให้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวระยอง สัตว์น้ำได้รับความเสียหายจนส่งผลต่อวิถีชีวิตการประกอบอาชีพ และรับผิดเยียวยาชดใช้ค่าเสียโอกาสในการประกอบอาชีพของแต่ละคนต่อไป” วีระศักดิ์ คงณรงค์ นายกสมาคมประมงพื้นบ้านท้องถิ่นระยอง กล่าวกับผู้จัดการออนไลน์
ศาลปกครองรับคำฟ้อง-รอผล
จันทนา เจริญบุญ ผู้อำนวยการ สำนักงานศาลปกครองระยอง รับหนังสือคำฟ้องเพื่อตรวจสอบเอกสารฟ้องว่าองค์ประกอบคำฟ้องครบถ้วนหรือไม่ ก่อนจะออกหนังสือประทับรับฟ้องแจ้งกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบให้รับทราบต่อไป