เตรียมยื่นปลดล็อค “กำแพงกันคลื่น” ปลดโยธา-ดันทำอีไอเอ-ฟื้นฟูหาดที่พัง

เครือข่ายอนุรักษ์ชายหาด-Beach For Life เตรียมยื่นรัฐบาลปลดล็อคเชิงโครงสร้าง 3 ข้อ เพื่อแก้ปัญหาการผลักดันโครงการกำแพงกันคลื่นทั่วประเทศ 

“ยกเลิกมติครม.ที่ให้อำนาจกรมโยธารับผิดชอบโครงการฯ-สั่งให้ต้องทำอีไอเอ (รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ-สั่งฟื้นฟูนิเวศหาดที่เสียหายจากกำแพงกันคลื่นที่ทำไปแล้ว” 

ประกาศระดมรายชื่อองค์กร-กลุ่มสิ่งแวดล้อมหนุนข้อเสนอ กำหนดแถลง-ยื่นรัฐบาลปลายสัปดาห์นี้ (25 พ.ย.2565)

(ภาพ : Beach For Life)

ก่อปัญหามากกว่าแก้-นโยบายผิดพลาด

“กลุ่ม Beach for life และเครือข่ายประชาชนทวงคืนหาดทราย ซึ่งเกิดจากการรวมตัวขององค์กรต่างๆ องค์กร เห็นว่า การดำเนินการในการป้องกันชายฝั่งที่ผ่านมาของรัฐบาลนั้น สร้างปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

รัฐบาลโดยหน่วยงานต่างๆที่มีอำนาจนั้น เลือกป้องกันชายฝั่งด้วยโครงสร้างทางวิศวกรรม และได้ใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง แต่ถึงอย่างไรก็ตามปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในประเทศไทยกลับทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น 

และในขณะเดียวกันนั้น กระแสการคัดค้านโครงการของรัฐในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งจากภาคประชาชนและชุมชนได้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ชายฝั่งเช่นกัน 

ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและความขัดแย้งภายในชุมชนจากการก่อสร้างโครงสร้างป้องกันชายฝั่งที่ผ่านมา ล้วนเป็นผลพวงจากการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาล” ร่างแถลงการณ์ Beach For Life -จดหมายยื่นรัฐบาล ระบุ

(ภาพ : Beach For Life)

“หน่วยงานรับผิดชอบ-อีไอเอ” ล็อคที่ต้องปลดด่วน

“การให้กรมโยธาธิการและผังเมือง มีอำนาจในการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ตาม มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่  30 กรกฎาคม 2534 และ วันที่ 13  กุมภาพันธ์ 2539  ทำให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกลายเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินโครงการป้องกันชายฝั่ง 

อีกทั้ง การเพิกถอนกำแพงกันคลื่นออกจากกิจการหรือโครงการที่ต้องทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) ตามประกาศแนบท้ายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในปี 2556 การประกาศเพิกถอนกำแพงกันคลื่นออกจากโครงการที่ต้องทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมนั้น ทำให้หลักประกันสิทธิตามรัฐธรรมนูญของประชาชนและชุนชนนั้นหายไป ทำให้โครงการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน ขาดการตรวจสอบความโปร่งใสและความถูกต้องของโครงการ 

ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้กรมโยธาธิการและผังเมือง อาศัยช่องว่างทางกฎหมายดังกล่าวดำเนินการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นบนชายหาดในประเทศไทย จนเกิดการระบาดของกำแพงกันคลื่นอันเป็นเหตุให้ชายหาดไทยถูกทำลายจนอยู่ในภาวะวิกฤต” ร่างแถลงการณ์

(ภาพ : Beach For Life)

งบเพิ่มเกือบหมื่นล้าน-วิกฤตกัดเซาะไม่ลด

“จากข้อมูลการใช้งบประมาณในการป้องกันชายฝั่ง ด้วยการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กรมเจ้าท่า และกรมโยธาธิการและผังเมือง พบว่าหลังการเพิกถอนกำแพงกันคลื่นออกจากการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) มีโครงการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นเกิดขึ้น 125 โครงการทั่วทุกชายหาดในประเทศไทย ใช้งบประมาณในการดำเนินการรวม 8,487,071,100 บาท  

โดยกรมเจ้าท่าดำเนินการโครงการก่อสร้างกำแพงกันคลื่น จำนวน 18 โครงการ งบประมาณ 1,792,171,000 บาท ในส่วนกรมโยธาธิการฯ ดำเนินการโครงการกำแพงกันคลื่น 107 โครงการ ใช้งบประมาณ 6,694,899,400 บาท รวมระยะทางการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นเฉพาะของกรมโยธาธิการ 70.413  กิโลเมตรตลอดแนวชายฝั่ง 

จากตัวเลขการใช้จ่ายงบประมาณ สะท้อนให้เห็นว่า กรมโยธาธิการและผังเมือง กลายเป็นหน่วยงานหลักที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นมากที่สุดต่อเนื่องทุกปี แต่ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด อีกทั้งยังเป็นต้นเหตุในการทำให้เกิดความขัดแย้งในหมู่พี่น้องประชาชนภายในชุมชนที่กรมโยธาธิการฯเข้าไปดำเนินโครงการ 

นอกจากนั้นโครงการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นของกรมโยธาธิการฯ ยังสะท้อนความไม่จำเป็นในการใช้จ่ายงบประมาณ 

เช่น กรณีชายหาดมหาราช ชายหาดม่วงงาม จังหวัดสงขลา หาดแม่รำพึง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และหาดดอนทะเล จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งชายหาดไม่ได้มีการกัดเซาะชายฝั่งรุนแรง เป็นเพียงการกัดเซาะชายฝั่งชั่วคราวในช่วงมรสุมบางฤดูกาล และชายหาดสามารถฟื้นฟูคืนสภาพกลับได้ แต่กรมโยธาธิการฯกลับดำเนินการก่อสร้างกำแพงกันคลื่น ในกรณีชายหาดม่วงงาม ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งชะลอโครงการกำแพงกันคลื่นหาดม่วงงามไว้ ด้วยเหตุผลที่สภาพชายหาดไม่มีการกัดเซาะชายฝั่งรุนแรง โครงการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นหาดม่วงงามโดยกรมโยธาธิการฯ จึงไม่มีความจำเป็น 

หรือแม้แต่กรณีชายหาดดอนทะเล ที่กรมโยธาธิการต้องเพิกถอนโครงการด้วยเหตุผลสภาพชายหาดไม่มีการกัดเซาะชายฝั่งรุนแรง และชุมชนมีมติไม่ต้องการโครงการดังกล่าว ทั้งหมดนี้ เป็นกรณีตัวอย่างที่ชัดเจน ถึงความไม่จำเป็นของกำแพงกันคลื่นที่ดำเนินการโดยกรมโยธาธิการฯ 

โครงการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นของกรมโยธาธิการฯ ที่ผ่านมานั้น ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชายหาด ทำให้ชายหาดนั้นหายไปอย่างถาวร 

ดังที่เกิดขึ้นกับชายหาดชะอำ จังหวัดเพชรบุรี หาดปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หาดแหลมเสด็จ จังหวัดจันทบุรี หาดทรายแก้ว จังหวัดสงขลา หาดหน้าสตน จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นต้น 

ชายหาดเหล่านี้ได้รับความเสียหายจากโครงการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นของกรมโยธาธิการฯ ทั้งสิ้น และเกิดการกัดเซาะชายฝั่งอย่างต่อเนื่องเป็นเหตุให้ต้องก่อสร้างกำแพงกันคลื่นต่อไปเรื่อยๆ 

ซึ่งในหลายพื้นที่ที่มีการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นในพื้นที่ชายหาดท่องเที่ยว เช่น หาดชะอำ หาดปราณบุรี ได้สร้างความเสียหายให้การท่องเที่ยวริมชายฝั่งทะเล ส่งผลให้นักท่องเที่ยวลดลงเป็นเหตุให้ผู้ประกอบการร้านค้าในแถบหาดท่องเที่ยวนั้นรายได้สูญลงอย่างชัดเจน” ร่างแถลงการณ์ฯ ระบุ

กรมโยธา-อีไอเอ

“จากปัญหาที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่า การเพิกถอนกำแพงกันคลื่นออกจากโครงการที่ต้องทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) และ การให้อำนาจกรมโยธาธิการฯ ซึ่งไม่มีองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญในการทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหาชายฝั่งทะเลที่มีความซับซ้อนและเป็นพลวัตินั้น ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรหาดทราย ซึ่งเป็นฐานทรัพยากรสำคัญของชุมชน ในฐานะเป็นพื้นที่แห่งชีวิต เป็นพื้นที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และพื้นที่แห่งความสุขของประชาชนที่ใช้ประโยชน์ทรัพยากรหาดทราย เมื่อหาดทรายถูกทำลายด้วยกำแพงกันคลื่นจากกรมโยธาธิการฯ วิถีวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าและมูลค่าที่เกิดขึ้นจากการมีหาดทรายได้ถูกทำลายไปด้วย” ร่างแถลงการณ์ฯ ระบุ

(ภาพ : Beach For Life)

3 ข้อเสนอ “ปลดล็อคเชิงโครงสร้าง”

“กลุ่ม Beach for life และ ภาคีเครือข่ายประชาชนทวงคืนหาดทราย xxx องค์กร ขอเรียกร้องต่อรัฐบาลให้ดำเนินการ 3 ข้อเรียกร้องสำคัญนี้ เพื่อการคุ้มครองและปกป้องหาดทรายจากการถูกทำลายด้วยกำแพงกันคลื่นและกรมโยธาธิการและผังเมือง 

  1. ขอให้คณะรัฐมนตรีมีคำสั่งยกเลิกมติคณะที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2534 ที่ให้อำนาจกรมโยธาธิการและผังเมืองในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ด้วยเหตุผลที่ว่า กรมโยธาธิการฯไม่มีความรู้ ความเข้าใจในการป้องกันและจัดการปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งได้อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ และผลการดำเนินงานที่ผ่านมาพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า กรมโยธาธิการฯ ใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในการสร้างกำแพงกันคลื่น เพื่อทำลายชายหาด 
  2. ขอคณะรัฐมนตรีมีคำสั่งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำเอาโครงการกำแพงกันคลื่นกลับมาเป็นโครงการที่ต้องทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมดังเดิม เพื่อเป็นหลักประกันสิทธิให้แก่ประชาชนและชุมชน รวมถึงเพื่อให้เกิดกระบวนการและกลไกในการตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมและชุมชนก่อนดำเนินการโครงการกำแพงกันคลื่น 
  3. ขอคณะรัฐมนตรี มีคำสั่งให้มีการฟื้นฟูสภาพชายหาดที่ได้รับความเสียหายจากการก่อสร้างกำแพงกันคลื่น โดยเฉพาะหาดท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทย เพื่อฟื้นฟูชายหาดให้กลับมาดังเดิม 

กลุ่ม Beach for life และ ภาคีเครือข่ายทวงคืนชายหาด ขอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการตามข้อเสนอที่ทางกลุ่ม Beach for life และเครือข่ายฯ เรียกร้องโดยเร็วที่สุด เพื่อคุ้มครองพื้นที่หาดทรายซึ่งเป็นทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่กำลังอยู่ในภาวะวิกฤติถูกคุกคามและทำลายจากการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นของกรมโยธาธิการและผังเมือง” ร่างแถลงการณ์ฯ ระบุ

เตรียมยื่นรัฐบาล 25 พ.ย.

“กลุ่ม Beach for life เเละเครือข่ายภาคีประชาชนทวงคืนชายหาด กำลังเตรียมการเพื่อยื่นหนังสือถึงรัฐบาล เรียกร้องให้เเก้ปัญหาเชิงโครงสร้างในการจัดการการกัดเซาะชายฝั่ง รายละเอียดดังร่างแถลงการณ์ขบวนประชาชนทวงคืนชายหาด ฉบับที่ 1 ข้างต้น

จึงอยากเชิญกลุ่ม องค์กรต่างๆที่เกี่ยวข้องในประเด็นสิ่งเเวดล้อม ร่วมลงชื่อในเเถลงการณ์ฉบับนี้ โดยหากประสงค์ร่วมลงชื่อ สามารถเเจ้งมาทางข้อความเพจเฟสบุ๊กได้เลย 

โดยเราได้กำหนดยื่นหนังสือต่อรัฐบาล ที่หน้าสำนักนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 นี้” Beach For Life เปิดเผยวันนี้ (23 พ.ย.2565)