น้ำท่วม จะด่าใคร

GreenJust : เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล

(ภาพ : Thai News Pix)

1.

ช่วงนี้ฝนตกทุกวันต่อเนื่องมาร่วมสองอาทิตย์แล้ว โดยเฉพาะตอนกลางคืน จะตกหนักและเบาตั้งแต่ค่ำจนเผลอหลับไป ตอนเช้านี้ตื่นขึ้นมาจะได้สัมผัสอากาศก็เย็นๆ พอเป่าปากก็เริ่มมีไอควันบางๆ แล้ว บรรยากาศของขอบฟ้าสดใส ยอดเขาสูงที่อยู่ห่างไปบางที่ปกคลุมด้วยหมอกหนาๆ แต่บางเช้าจะเห็นแสงแดดส่องบางๆ ยอดข้าวมีน้ำค้างเกาะหนาๆ …. เหมือนจะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้วสินะ 

ก่อนหน้านี้ผมใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแบบชนชั้นกลาง ไม่ได้ออกแดดตากฝน ไม่ได้ปลูกอะไรที่จะต้องพึ่งพาแดดและฝน ทำให้ผมมักจะมองแดดและฝนว่าเป็นปัญหารอบกายที่สร้างความลำบากเล็กๆ น้อยๆ ในการใช้ชีวิต หรืออย่างดีก็มองว่าเป็นเรื่องรื่นรมย์บ้างในบางจังหวะ เช่น เวลาแดดออกก็จะร้อนมาก หากจะเดินไปไหนมาไหนก็ต้องทนเอา เวลาฝนตกขณะที่เราอยู่ในบ้าน ก็จะรู้สึกเย็นและอากาศสดชื่น แต่หากตกตอนเดินทางหรือเดินออกนอกบ้านก็จะรู้สึกเป็นอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ อาจจะต้องรอหรือขับรถช้ากว่าปกติ  

(ภาพ : เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล)

2.

พอผมได้มาใช้ชีวิตอยู่บ้าน ปลูกข้าวและผักกินเอง ความรู้สึกต่อแสงแดดและสายฝนของผมก็เปลี่ยนไปบ้าง หรืออย่างน้อยผมก็บ่นมันน้อยลง บางทีก็ภาวนาให้มีแดดหรือฝนตก เพราะพืชที่ผมปลูกต้องการทั้งแดดและฝน พืชทุกชนิดต้องการแดดในการสังเคราะห์แสงเพื่อเจริญเติบโต แดดที่พอดีจะทำให้พืชเติบโตได้ดี โดยเฉพาะข้าว ต้องใช้แสงแดดที่มากพอในช่วงที่ออกรวง เนื่องจากใบข้าวจะสังเคราะห์แสงเพื่อนำไปผลิตแป้งในรวงข้าว หากแดดไม่ดีหรือเป็นพื้นที่ที่อับแดด ก็จะได้ปริมาณข้าวน้อยลง แต่หากแดดมากเกินไปก็จะแห้งตายหรืออ่อนแอจนไม่สามารถทนต่อแมลง และเชื้อโรคสารพัดชนิดที่จ้องกัดกินต้นพืชของเรา 

สำหรับฝนนั้นโดยทั่วไปเกษตรกรอยากให้ตกมากๆ อยู่แล้ว จะได้ทำให้พื้นดินชุ่มชื้นตลอดเวลา พืชผักจะได้งดงาม ไม่บ่อยนักที่จะมีฝนตกมากเกินจนทำให้ผักเน่าตายหมด ยกเว้นแต่พื้นที่บนภูเขาสูงที่มีอากาศเย็นอย่างแถวบ้านผม จะมีฝนตกมากเป็นประจำเกือบทุกปี ชึ่งปริมาณฝนที่ตกมากเกินก็สร้างปัญหาได้เหมือนกัน หากเราดันไปปลูกพืชชนิดที่ใช้น้ำน้อย จะทำให้รากเน่าหรือใบเกิดเชื้อรา ทำให้ต้นเหลือง เน่าตาย หรือใบหงิกงอ

ปีนี้แถวบ้านผมถือว่าฝนตกดีมาก ในความรู้สึกของผม ปริมาณฝนอาจจะมากกว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมา ผมปลูกข้าวไร่ ข้าวโพด กระชายดำและขมิ้นชัน 

ข้าวไร่และข้าวโพดสองอย่างนี้ค่อนข้างทนต่อแดดและฝน ยิ่งเป็นพื้นที่ชื้นแฉะยิ่งโตไว ดังนั้นแม้ช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายน ฝนจะตกต่อเนื่องเป็นแรมเดือนจนแทบไม่เห็นแสงแดด แต่ก็ไม่ได้สร้างปัญหาให้ข้าวและข้าวโพด ในทางกลับกันกลับทำให้เติบโตเร็วจนสูงแชงหญ้า ทำให้หญ้าไม่ได้สร้างปัญหาให้มันมากนัก 

สำหรับกระชายดำนั้นแตกต่างจากข้าวและข้าวโพด กระชายดำเป็นพืชที่ไม่ชอบน้ำมาก ตอนที่ปลูกแรกๆ จะงอกดีมาก แต่พอถึงช่วงที่ฝนตกต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ก็เจอปัญหาใบเน่าและตายทั้งต้นอย่างรวดเร็ว ผมจำเป็นต้องพ่นยาป้องกันโรคเน่า ถึงกระนั้นก็พบว่าเน่าตายไปราวครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว แต่ข้อดีอย่างหนึ่งคือกระชายดำเป็นพืชที่ไม่จำเป็นต้องใช้แสงแดดมาก แม้จะไม่มีแสงแดดหรือปลูกอยู่ในที่อับแสง ก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด 

สำหรับขมิ้นชันนั้นผมปลูกทิ้งไว้สองปีกว่าแล้ว เพียงไปฟันหญ้าตอนหน้าแล้ง จนถึงตอนนี้แทบเรียกได้ว่าอยู่ในดงหญ้าไปเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อชะเง้อดูห่างๆ ก็ยังพอเห็นใบมันแชมอยู่กับหญ้า เพียงรอให้หมดฤดูฝนก็สามารถไปขุดได้เลย จะว่าไปขมิ้นคงปลูกง่ายที่สุด 

(ภาพ : เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล)

3.

ฤดูฝนปีนี้เหมือนจะสร้างความเสียหายมากพอสมควร ไม่เว้นแม้กระทั่งบนพื้นที่สูงอย่างแถวบ้านผม ที่นาที่อยู่ติดแม่น้ำถูกท่วมหนักอย่างน้อย 3 รอบ 

หลายคนได้รับความเสียหายหนักเลย ทั้งต้นข้าวถูกน้ำพัดเสียหาย บางรายก็พัดคันนาพังเป็นแถบๆ สองกรณีนี้ยังพอแก้ไขได้ทัน แต่หากเป็นกรณีที่ที่นาถูกหินและทรายทับถมหนา หรือน้ำพัดที่ดินพังทลายไปหรือเกิดร่องน้ำเปลี่ยนทาง จะสร้างปัญหาอย่างมาก อาจจะจะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะทำให้หน้าดินฟื้นฟูสภาพ หรือใช้ต้องงบประมาณจำนวนมากจ้างเครื่องจักรมาปรับพื้นที่ใหม่ 

สำหรับพื้นราบลุ่มแม่น้ำเกือบทุกทีก็ถูกท่วมกันอย่างทั่วหน้า จากการพบเห็นตอนเดินทางหรือตามข่าว เกิดน้ำท่วมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม หากเป็นก่อนหน้านี้คงมีการประกาศเป็นเขตภัยพิบัติกันทั่วไปหมดแล้ว 

ปกติบรรดาผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ ทุกคนอยากประกาศเขตภัยพิบัติกันทั้งนั้น เพราะนั่นจะเท่ากับทำให้พวกเขาสามารถเบิกงบประมาณแบบพิเศษก้อนโตมาบริหารได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจใช้เงินทดรองจ่ายพิเศษจังหวัดละ 20 ล้านบาท และยังสามารถเพิ่มได้อีก อีกทั้งยังทำให้หลายหน่วยงานสามารถรังสรรค์โครงการต่างๆ อีกมากมาย โดยอ้างเหตุภัยพิบัติที่ว่านี้  

โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ชึ่งดูเหมือนว่าปีนี้ก็ท่วมหนักเอาการ และมักจะมีเรื่องแปลกๆ ให้ชวนสงสัยตลอด เป็นต้นว่าน้ำรอระบาย ท่อระบายน้ำอุดตัน 20 ปีไม่เคยลอก ล่าสุดคือพบกระสอบทรายปิดปากท่อไม่ให้น้ำระบายออก พอมีคำถามว่ามีใครวางยาผู้ว่าชัชชาติหรือเปล่า คนที่รับผิดชอบก็ออกมาบอกว่านั่นเป็นวิธีป้องกันน้ำท่วม คำตอบนี้คงทำให้คนกรุงเทพฯ ขมวดคิ้วไปตามๆ กัน 

รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์  ผอ. ศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ให้ข้อมูลกับบีบีชีไทยเมื่อต้นเดือนกันยายนว่า แนวโน้มค่าเฉลี่ยปริมาณฝนช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม จะมีปริมาณมากกว่า 1,200 มม. นั่นหมายความว่า อนาคตในกรุงเทพมหานครและลุ่มน้ำเจ้าพระยาทั้งหมด หนีไม่พ้นเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ เมื่อเทียบเคียงกับเหตุการณ์น้ำที่ท่วมหลากในปี 2538 และ 2554 เกณฑ์ที่จะท่วมหนัก คือ ปริมาณฝนที่เกิน 1,200 มม.

ในขณะที่ ชมภารี ชมภูรัตน์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา แจกแจงว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดน้ำท่วม ไม่ได้มาจากสภาพอากาศอย่างเดียว แต่รวมถึงการบริหารจัดการน้ำด้วย ชึ่งมีการถกเถียงกันมานานแล้วว่าการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทยไม่มีความเป็นธรรม ทำให้บางพื้นที่เกิดน้ำท่วมช้ำชาก ในขณะที่บางพื้นที่ได้รับการป้องกันอย่างดี 

ปัญหาน้ำท่วมหนักปีนี้ใช่ว่าจะมีแต่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น หรือหากจะว่าไปประเทศไทยเจอปัญหาน้อยกว่าอีกหลายๆ ประเทศ 

ผมขอยกตัวอย่างประเทศที่เจอน้ำท่วมหนักชนิดผิดปกติจริงๆ เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ สองประเทศนี้ถือว่าเป็นประเทศที่มีระบบการป้องกันน้ำท่วมเมืองได้ดีที่สุด แต่ก็ยังไม่พ้นถูกน้ำท่วมเข้าไปยังเขตเมือง แสดงว่าปริมาณฝนมากผิดปกติจริงๆ และประเทศที่ถือว่าเจอน้ำท่วมหนักที่สุดในโลกคือ ปากีสถาน เหตุเกิดช่วงเดือนมิถุนายน เกิดน้ำท่วมและภูเขาถล่ม มียอดผู้เสียชีวิตกว่า 1,100 คน คาดว่ามูลค่าความเสียหายมีมากกว่า 3.5 แสนล้านบาท โดยกระทบต่อผู้คนกว่า 33 ล้านคน หรือคิดเป็น 15% ของประชากรทั้งประเทศ 

(ภาพ : เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล)
(ภาพ : เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล)

4.

แม้น้ำจะท่วมทุกภาคของประเทศไทยและคนได้รับความเดือดร้อนเสียหายจะอยู่กระจายทุกพื้นที่ แต่ข่าวในหน้าสื่อก็จะประโคมเรื่องราวของคนกรุงเทพฯ ดังกว่าที่อื่นๆ ชึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเสียงของคนกรุงเทพฯ ดังกว่าต่างจังหวัดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว อีกประการคือเสียงของฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่อยากด่าผู้ว่าชัชชาติอยู่แล้ว เมื่อน้ำท่วมเลยสบโอกาส 

ปัญหาน้ำท่วมสร้างความเดือดร้อนเสียหายมากมายจริงๆ แต่น้ำท่วมใหญ่ไม่ได้เกิดจากสาเหตุเพียงว่าฝนตกมากเกินไปเท่านั้น หากแต่เป็นเรื่องความรู้สึกสะเทือนใจของคนจากประสบการณ์ที่พบเจอ หรือจากข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ 

อีกสาเหตุคือการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดหรือจงใจ ทำให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อบางพื้นที่ ที่สำคัญคือ เพราะมนุษย์ทำให้ระบบนิเวศน์เสื่อมโทรมไปมาก ทำให้ธรรมชาติไม่สามารถรับมือเมื่อเกิดฝนตกหนัก ชึ่งปริมาณฝนจะมีมากบ้าง น้อยบ้าง ก็เป็นปกติของธรรมชาติ แต่เมื่อระบบนิเวศน์ไม่สามารถรับมือได้ ก็เลยท่วมอย่างที่เราเห็น 

และที่น่าเจ็บปวดใจคือ เกิดจากการสร้างสถานการณ์เพื่อโจมตีทางการเมือง อันนี้ไม่เกี่ยวกับธรรมชาติแล้ว แต่เป็นฝีมือของคนที่มีจิตใจสกปรกล้วนๆ