“ทวงสัญญา บางกลอย” ที่ทำเนียบ พรุ่งนี้ ภาคีSaveบางกลอยประกาศ

ภาพ : ภาคีSAVEบางกลอย

ภาคีSAVEบางกลอย เดินหน้ายื่นหนังสือถึง อนุชา นาคาศัย วันอังคารที่ 20 กันยายน 2565 เวลา 11.00 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล หลังไม่ได้รับความชัดเจนต่อคดีฟ้องชาวกะเหรี่ยงบางกลอยทั้ง 29 คน โดยกรณีบางกลอยเป็นเพียงหนึ่งใน 34,692 คดี หลังคสช. มีนโยบายทวงคืนผืนป่า

เมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา อนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และ แก้ไขปัญหาชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ครั้งที่ 1/2565 ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 26/2565 แต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้ เพื่อศึกษา รวบรวมปัญหา และ ตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับคดีปกครอง คดีอาญาและคดีแพ่งที่เกี่ยวข้องกับชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง 

ทั้งนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะกรรมการชุดนี้เป็นคณะกรรมการอิสระที่ได้รับความเห็นชอบจาก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในวันนี้ได้มีการหารือหลายด้านให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนชาวบางกลอยให้ได้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรมที่สุด โดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนพื้นแผ่นดินไทย ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะเร่งดำเนินการแก้ไขสิ่งที่ค้างคาในอดีตให้เห็นผลในเร็ววัน ตามขัอสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ยืนยันจะดูแลกลุ่มชาติพันธุ์ที่บ้านบางกลอยอย่างเต็มที่ เพื่อให้ชาวบางกลอยมีที่อาศัย ที่ทำกิน และ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น (ที่มา : www.thaigov.go.th/news)

ภาพ : ภาคีSAVEบางกลอย

รวมตัวเดินหน้ายื่นหนังสือ

ภาคคี SAVEบางกลอย ประกาศผ่านเพจเฟสบุ๊กเพื่อยื่นหนังสือ ต่อ อนุชา นาคาศัย ในวันพรุ่งนี้ว่า “ระดมพลด่วน! ปฏิบัติการภาคีSAVEบางกลอย ยื่นหนังสือถึง อนุชา นาคาศัย ประธานคณะกรรมการอิสระฯ หลังมีความเห็นว่าอัยการไม่ควรส่งฟ้องชาวกะเหรี่ยงบางกลอยทั้ง 29 คน แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนเป็นรูปธรรม ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ โดยคดีอยู่ในชั้นพนักงานอัยการ ร่วมกันเคลื่อนไหว ทวงถามอีกครั้ง ว่าเอาคนจนกลุ่มชาติพันธุ์เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วเราได้อะไร นอกจากเป็นคดีที่ไม่เป็นประโยชน์สาธารณะ เป็นภาระงบประมาณเงินภาษีที่รัฐต้องมาใช้สู้คดีกับประชาชน รวมถึงเป็นภาระอันใหญ่หลวงของกลุ่มชาติพันธุ์บ้านบางกลอย ที่เงินจะซื้อข้าวกินยังไม่มี!”

พชร คำชำนาญ สมาชิกภาคีSAVEบางกลอยให้ความเห็นว่า “ตั้งแต่มีการประชุมคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และ แก้ไขปัญหาชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย หมู่ที่ 1 ตำบลห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 หลังจากภาคประชาชนได้เคลื่อนไหวผลักดันมานั้น ภาคีSAVEบางกลอย ได้ติดตามการดำเนินงานของคณะกรรมการอิสะฯ มาอย่างต่อเนื่อง

แต่อย่างไรก็ตาม เราพบว่าได้มีความเห็นร่วมกันเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาด้านคดีความของชาวบ้านบางกลอย 29 คน หลังถูกจับกุม ดำเนินคดี และ คุมขังตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 ถูกตั้งข้อหาบุกรุกอุทยานฯ จนได้รับการประกันตัวออกมาก็จริง แต่จนถึงขณะนี้หากยังแก้ไขปัญหาด้านคดีความไม่ได้ ก็ยากจะดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านอื่นๆ เช่น การหาแนวทางให้ชาวบ้านกลับขึ้นไปทำกินที่บนบางกลอยได้”

ภาพ : ภาคีSAVEบางกลอย

การดำเนินการที่ไม่ชัดเจน

“ขณะนี้คดีความยังอยู่ในชั้นพนักงานอัยการ ซึ่งเรายังคงกังวลว่าหากพนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรีดำเนินการทางคดีต่อ จนศาลรับฟ้อง และ เห็นว่าชาวบ้านผิด จะทำให้ชาวบ้านบางกลอยที่มีคุณภาพชีวิตที่ย่ำแย่อยู่แล้วต้องเผชิญวิกฤตซ้ำเติม เป็นภาระงบประมาณภาษีของประชาชนที่รัฐต้องเอามาใช้ดำเนินคดีกับประชาชน เป็นคดีที่ไม่เป็นประโยชน์สาธารณะ

ต้องการให้คณะกรรมการอิสระฯ มีการดำเนินการที่ชัดเจน และ เห็นเป็นรูปธรรมหลังจากนี้ หลังมีความเห็นร่วมกันว่าไม่ควรสั่งฟ้องแล้วในการประชุมหรือการลงพื้นที่ และ ได้เห็นสภาวการณ์ปัจจุบันแล้วว่าชาวบ้านกำลังเดือดร้อน มีปัญหาด้านปากท้อง การเคลื่อนไหวครั้งนี้เราจึงอยากกระตุ้นให้คณะกรรมการอิสระฯ ให้ความสำคัญกับเรื่องคดีความ โดยต้องดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ให้อัยการสั่งไม่ฟ้องชาวบ้านบางกลอยทั้ง 29 คน” พชร กล่าว

 

ภาพ : ภาคีSAVEบางกลอย

บางกลอยเป็นเพียงหนึ่งใน 34,692 คดี

ทั้งนี้ พชร กล่าวว่าทิ้งท้ายว่า “เราต้องการให้สังคมได้รับรู้ และ ตระหนักว่า เราจะไม่ได้อะไรจากการเอาชาวบ้านจนๆ และ กลุ่มชาติพันธุ์เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เอาเข้าไปนอนในคุก อันเป็นผลพวงจากกฎหมาย และ นโยบายด้านป่าไม้ที่ดินของรัฐไทย กรณีบางกลอยเป็นเพียงหนึ่งใน 34,692 คดีหลัง คสช. ซึ่งพวกเรา สังคมไทยไม่ได้อะไรจากการแย่งยึดที่ดินของประชาชน และ การโยนคนจนนอกคุก แล้วกล่าวหาว่าเขาบุกรุกที่ดินตัวเอง ในขณะที่นายทุนที่รุกป่าจริงๆ กลับลอยนวล”