GreenJust : เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล

1.
ไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมเห็นข่าวที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้จัดกิจกรรมให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปร่วมเดินลาดตระเวนตรวจป่า และเป็นประธานสดุดีเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ได้เห็นรูปแบบและเนื้อความในการสื่อสารสาธารณะของกรมอุทยานฯ
ผมคิดว่ามีความน่าสนใจตรงที่ เขาใช้ภาพของรัฐมนตรีที่อยู่ในชุดลายพราง ไปร่วมกิจกรรมกับกองกำลังในชุดลายพรางกว่า 500 คน โดยเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับการปราบปรามผู้กระทำความผิด ความยากลำบากในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และภัยคุกคามต่อชีวิตและความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่
ทำให้ผมเอะใจว่าทำไมเขาถึงอยากให้เราเห็นนักการเมืองในชุดลายพรางไปเดินตรวจป่า พร้อมกับมีการเน้นย้ำว่ามีภัยคุกคามที่ทำให้มีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าพื้นที่ป่าและทรัพยากรจากป่าถูกคนคุกคามจริง แต่คำถามคือภัยคุกคามเหล่านั้นมาจากใคร และมีต้นตอมาจากอะไร

2.
เมื่อเปิดเข้าไปดูเว็บไซต์ของกระทรวงทรัพย์ฯ เข้าไปที่หน้าข่าวสารกระทรวง จะพบว่าข่าวสารต่างๆ ของหน่วยงานด้านป่าไม้ ที่กระทรงทรัพย์ฯ เอามาเผยแพร่สู่สังคม มักจะเป็นภาพเจ้าหน้าที่ในชุดลายพราง บางครั้งก็มีติดอาวุธบ้าง ผู้บริหารระดับสูงในชุดข้าราชการเต็มยศ กิจกรรมที่ให้คนใส่เสื้อสีเหลือง งานพิธีการที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับสถาบันกษัตริย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมของกองกำลังพิทักษ์ป่า เช่น การตรวจและปราบปรามคนบุกรุกทำลายป่า ผู้บริหารลงตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัด คำเตือนประชาชนไม่ให้ทำผิดกฎหมาย โดยที่มีกิจกรรมที่เกี่ยวกับประชาชนทั่วไปน้อยมาก แม้กระทั่งข่าวการแก้ไขปัญหาสิทธิในที่ดิน ก็มักจะเป็นการเตือน กล่าวโทษและพูดถึงปัญหามากกว่า
ผมคิดว่าปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นความจงใจของกระทรวงทรัพย์ฯ ซึ่งเป็นร่องร่องของกระบวนการสร้างความชอบธรรมให้กรมอุทยานฯ มีอำนาจผูกขาดทรัพยากรป่าไม้ ภายใต้วิธีการจัดการป่าแบบอำนาจนิยม
หากนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นมา กรมอุทยานฯ ตั้งงบประมาณสำหรับภารกิจป้องกันและปราบปรามปีละกว่า 1,000 ล้านบาท โดยปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ตั้งไว้ประมาณ 2,600 ล้านบาท มากกว่างบประมาณอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าและงบด้านอื่นๆ ทั้งหมด โดยปัจจุบันมีกำลังเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่ากว่า 20,000 คนทั่วประเทศ หากเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานแบบอื่นก็ถือว่ามีจำนวนไม่มาก หากแต่จำนวนนี้เป็นกองกำลังติดอาวุธ ผมเชื่อว่าทุกคนต่างเห็นด้วยที่รัฐจะต้องปกป้องผืนป่าที่มีอยู่ไว้ให้ดี
แต่การอนุรักษ์รักษาและปกป้องพื้นที่ป่าโดยมุ่งใช้กองกำลังติดอาวุธแบบไทย เป็นวิธีการที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ และวิธีการนี้ทำให้ใครได้ประโยชน์ แต่ที่แน่ๆ ได้ปรากฏชัดแล้วว่าสังคมไทยได้ประโยชน์น้อยมาก เพราะนอกจากการจัดการพื้นที่ป่าจะไม่มีประสิทธิภาพแล้ว ยังเสียงบประมาณอีกจำนวนมหาศาลในแต่ละปี

3.
รองศาสตราจารย์สายชล สัตยานุรักษ์ ได้กล่าวว่า เพื่อจะทำให้ตนเองมีความชอบธรรมที่จะอยู่ในอำนาจหรือใช้อำนาจกระทำบางการ ผู้มีอำนาจฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะพยายามสร้าง “ศัตรูของชาติ” และทำให้สังคมไทยมีทัศนคติว่ามีความเลวร้าย ซึ่งรัฐมีความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงเข้าจัดการ มองกลุ่มคนที่มีความแตกต่างว่ามีความผิดปรกติ ซึ่งจะต้องจัดการให้หมดสิ้นโดยเร็ว
นอกจากนี้ กฤดิกร วงศ์สว่างพาณิชย์ ยังเสนอว่า การมีอยู่ของรัฐสมัยใหม่แบบประชาธิปไตย มีหน้าที่ดูแลและปกป้องคุมครองประโยชน์ประชาชนที่เป็นเจ้าของรัฐจากภัยต่างๆ ถ้ารัฐไร้ซึ่งบทบาทในการคุ้มครองประชาชนจากภัย รัฐจะหมดความสำคัญลง ฉะนั้น รัฐจะต้องสร้างศัตรูบางอย่างขึ้นมาเสมอ
แต่ในปัจจุบันรูปแบบของศัตรูของรัฐมันเปลี่ยนไป ไม่ใช้เฉพาะศัตรูจากสงครามจริงๆ เท่านั้น ซึ่งศัตรูที่ว่าอาจจะไม่มีตัวตนอยู่จริงก็ได้ เราจึงได้เห็นรัฐออกมาประกาศว่ามีศัตรูในรูปแบบอื่นๆ มากมาย เพื่อเป็นภารกิจในการทำหน้าที่ของรัฐ
ถ้ารัฐที่มีรสนิยมทางการเมืองแบบเสรีนิยม ศัตรูของรัฐคือความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมทางสังคม แต่สำหรับรัฐที่มีรสนิยมทางการเมืองแบบอำนาจนิยม ศัตรูก็อาจจะเป็นกลุ่มพลเมืองที่อยู่ตรงข้ามกับผู้มีอำนาจ หรือคนที่มีวีถีชีวิต วัฒนธรรม ความเชื่อ ที่แตกต่างจากสิ่งที่รัฐต้องการ
เมื่อหันกลับมาดูกรณีของกรมอุทยานฯ ที่ผ่านมาได้สร้างกองกำลังติดอาวุธจำนวนกว่า 20,000 คน ถือว่าเป็นกองกำลังที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งจะต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากในแต่ละปี จึงจำเป็นต้องสร้างศัตรูที่จ้องทำลายทรัพยากรป่าไม้ของชาติขึ้นมา และทำให้เชื่อว่าพื้นที่ป่าซึ่งเป็นทรัพยากรของส่วนรวมกำลังถูกคุกคาม ถึงขนาดคนอย่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพย์ฯ จะต้องไปเดินลาดตระเวนตรวจป่าด้วยตนเองแล้ว ทั้งนี้เพื่อที่จะทำให้กองกำลังดังกล่าวนี้มีความชอบธรรมในการอยู่ต่อไป
อย่างไรก็ตามเมื่อขณะนี้ประเทศไทยไม่ได้มีอริราชศัตรูจากข้างนอกประเทศ ที่จะคอยมาแย่งยึดดินแดนหรือฉกฉวยเอาทรัพยากรที่อยู่ในแผ่นดินไทยแล้ว ผู้มีอำนาจจึงได้สร้างศัตรูจากภายในขึ้นมา แม้ว่ากลุ่มคนเหล่านั้นจะไม่ได้เป็นศัตรูของรัฐจริงๆ ก็ตาม
ศัตรูที่กระทรวงทรัพย์ ฯ สร้างขึ้นมา คือ กลุ่มคนที่มีพฤติกรรมทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้ ซึ่งศัตรูที่มีความสำคัญคือ ขบวนการลักลอบทำไม้เถื่อนหรือล่าสัตว์ ซึ่งมีนายทุน ผู้มีอิทธิพล นักการเมืองอยู่เบื้องหลัง และอีกกลุ่มคือชาวบ้านที่อยู่อาศัยหรือทำกินอยู่ในเขตป่า
แล้วศัตรูของกระทรวงทรัพย์ ฯ ทั้งสองกลุ่มนี้มีตัวตนจริงไหมหรือเป็นอย่างไร
ศัตรูกลุ่มแรก ขบวนการลักลอบทำไม้เถื่อนหรือล่าสัตว์ป่า ที่มีนายทุน ผู้มีอิทธิพลหรือข้าราชการระดับสูงอยู่เบื้องหลัง เป็นศัตรูที่มีความคลุมเครือเป็นอย่างมาก กล่าวคือ จะมีอยู่จริงหรือไม่ ยังไม่มีการแสดงหลักฐาน และยังไม่มีการใช้อำนาจตามกฎหมายเข้าไปดำเนินการเอาผิดอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ซึ่งหากคนเหล่านี้มีอยู่จริง เจ้าหน้าที่รัฐย่อมมีการข่าว และมีอำนาจตามกฎหมายเข้าไปดำเนินการตรวจสอบ หรือจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายได้อยู่แล้ว
หากแต่ความจริงอีกด้านคือ นายทุน ผู้มีอิทธิพลหรือข้าราชการระดับสูงเหล่านั้น ล้วนเป็นพวกเดียวกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงหรือผู้มีอำนาจในหน่วยงานรัฐอยู่แล้ว เรื่องนี้เจ้าหน้าที่ป่าไม้หรืออุทยานในระดับพื้นที่ต่างรู้ดี คำถามคือ แล้วเขาจะเอากองกำลังติดอาวุธเหล่านี้ไปจัดการกับพวกเดียวกันเองอย่างนั้นหรือ
ศัตรูของรัฐกลุ่มนี้ เป็นศัตรูที่คนทั่วไปรู้ว่ามีอยู่จริง อีกทั้งรัฐก็ใช้เป็นข้ออ้างในการใช้งบประมาณหรือออกกฎ ระเบียบ ข้อห้ามต่างๆ ที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของคน รวมทั้งปฏิบัติการแบบที่คนรู้ๆ กันว่าแสดงละคร แต่ความจริงแล้วคนกลุ่มนี้จะไม่ถูกรัฐจัดการ เว้นแต่จับแพะเมื่อถูกสังคมโจมตีหรือตั้งข้อสงสัยมากถึงขนาด
ศัตรูกลุ่มที่สอง ชาวบ้านที่อยู่อาศัยหรือทำกินอยู่ในที่ดินในเขตป่า ซึ่งทั่วประเทศมีทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่มาก่อนประกาศเขตป่าหรือเพิ่งบุกรุกใหม่ ล้วนถูกกระทรวงทรัพย์ฯ นิยามว่าเป็นศัตรู เพียงแต่ระดับของความเข้มข้นของคนที่อยู่มานานกับคนที่เพิ่งบุกรุกอาจจะมีต่างกันบ้าง
แม้ที่ผ่านมาจะมีนโยบายของรัฐบาลออกมาแก้ไขปัญหาเป็นระยะๆ แต่ก็อยู่ภายใต้แนวทางและวิธีการแบบควบคุมไม่ให้กระทำความผิดเพิ่ม เช่น คทช. ก็เป็นการควบคุมพื้นที่และอนุญาตให้ใช้ได้ในรูปแบบการเช่าที่มีกำหนดระยะเวลา ไม่ใช่การให้สิทธิเพื่อทำให้คนเหล่านั้นมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
สำหรับศัตรูที่เป็นชาวบ้าน เป็นกลุ่มที่มีตัวตนอยู่จริง เพียงแต่เป็นพลเมืองของรัฐ จะว่าไปคนเหล่านี้ส่วนมากอยู่มาก่อน และไม่มีอาวุธที่จะคุกคามรัฐได้ ทั้งยังทำมาหากินสุจริต โดยเฉพาะการทำการเกษตรที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจำนวนมหาศาล อย่างไรก็ตามแม้คนเหล่านี้จะไม่ได้แสดงตัวว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐ แต่รัฐก็ถือว่าคนกลุ่มนี้คือศัตรูตัวฉกาจเลย

4.
แม้ว่ารัฐไทยจะมีรูปแบบภายนอกที่เป็นแบบเสรีนิยมประชาธิปไตย แต่กลับมีรสนิยมแบบอำนาจนิยม นั่นทำให้แทนที่รัฐจะถือว่าความยากจน การกระจุกตัวในการถือครองที่ดิน การตกงาน ความล้าหลัง เป็นศัตรูที่รัฐจะเข้าไปขจัดเพื่อปกป้องความเป็นอยู่ของประชาชนเจ้าของประเทศ
แต่กระทรวงทรัพย์ฯ กลับกำหนดให้พลเมืองไทยที่ถือครอบที่ดินทำกินในเขตป่าเป็นศัตรู ซึ่งตามมาด้วยภารกิจต่างๆ เช่น ทวงคืนผืนป่าเป็นต้น ที่ล้วนสร้างอุปสรรคต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนชนบท
แต่กับขบวนการลักลอบทำไม้ผิดกฎหมาย ซึ่งสร้างความเสียหายต่อรัฐจริงๆ ไม่ถูกจัดการ เพียงแต่อาศัยสถานการณ์ไปสร้างความชอบธรรมให้แก่การดำรงอยู่ของกองกำลังติดอาวุธในกรมอุทยานฯ