แม่น้ำพลาสติก : ย้อนรอยเส้นทางขยะ ที่ทำให้ “เจ้าพระยา” สำลัก
จากพื้นที่ใจกลางประเทศไทยไหลผ่านกรุงเทพฯ สู่ท้องทะเล หนึ่งในแม่น้ำสายสำคัญที่สุดของประเทศที่ท่วมเกลื่อนด้วยพลาสติก

เรื่อง : วันเพ็ญ พาใจ
ภาพ : Mailee Osten-Tan
แม่น้ำเจ้าพระยากำเนิดจากลำห้วยบนเขาในภาคเหนือของไทย ไหลเป็นระยะทางไกลหลายร้อยกิโลเมตรลงใต้สู่ทะเล ในห้วงเวลาที่เดินทางผ่านกรุงเทพและไหลลงอ่าวไทย สายน้ำแห่งนี้ได้หอบพาขยะพลาสติกปริมาณมหาศาล ประมาณการณ์ว่ามากถึง 4,000 ตันต่อปี พลาสติกเหล่านั้นก่อปัญหาอุดตันตลอดเส้นทาง ส่งผลกระทบอย่างมาก ต่อทั้งชุมชนสองฝั่งและระบบนิเวศแม่น้ำ
The Third Pole เดินทางจากต้นกำเนิดแม่น้ำเจ้าพระยา ล่องตามสายน้ำสู่ทะเลอ่าวไทย เพื่อสำรวจว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนึ่งในแม่น้ำที่มีความสำคัญที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สายนี้
ณ จุดเริ่มต้นของแม่น้ำ



แม่น้ำเจ้าพระยาเริ่มต้นที่จุดบรรจบของแม่น้ำปิงและน่านในนครสวรรค์ จังหวัดในพื้นที่ใจกลางประเทศไทย แม้ว่าสายน้ำแห่งนี้จะเดินทางมาไกลราวครึ่งประเทศก่อนจะถึงจุดบรรจบนี้ แต่น้ำยังคงค่อนข้างสะอาด และขนาบข้างด้วยหมู่บ้านและทุ่งนา
ที่ดินรอบ ๆ เป็นพื้นที่ในฝันที่เหมาะสำหรับปลูกข้าวด้วยมีสภาพน้ำท่วมถึงทุกปีตามวัฏจักรธรรมชาติ อันเป็นอิทธิพลจากมรสุมในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม ที่หอบน้ำท่าและสารอาหารมาบรรณาการต้นข้าวมากมายทั่วถึง ในปี 2555 ที่ดินราว 45% ของลุ่มเจ้าพระยาถูกใช้สำหรับการทำนาข้าว สวนผลไม้ก็พบเห็นได้ทั่วไปในพื้นที่ลุ่มน้ำช่วงนี้
แต่ถึงจะเป็นพื้นที่ชนบทตอนบนเช่นนี้ ก็ประจักษ์ถึงการปรากฏตัวของพลาสติกในรูปแบบวัสดุที่ใช้สำหรับการทำเกษตรกรรมที่มีการใช้อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ



“น้ำท่วม” พัดพาพลาสติก มาเมืองหลวงเก่า
นอกจากจะหอบเอามวลน้ำและสารอาหารมาเป็นปุ๋ยให้พื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา ภาวะน้ำท่วมก็ยังพัดพาเอาบรรดาขยะพลาสติกจากการทำการเกษตรและการบริโภคลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาด้วย
ใต้ลงมาจากนครสวรรค์ แม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านพื้นที่อยุธยา จังหวัดเมืองเก่าที่เคยเป็นเมืองหลวงของไทยจวบปี 2310 ซึ่งเป็นจุดบรรจบของอีก 2 แม่น้ำที่ไหลลงมาสมทบแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้พื้นที่ขวักไขว่เต็มไปด้วยลำคลองหลายสาย และทำให้วิถีชีวิตดั้งเดิมของคนที่นี่สัมพันธ์ใกล้ชิดกับน้ำเป็นอย่างมาก ภาวะน้ำท่วมประจำปีทำให้บ้านเรือนตลอดสองฝั่งแม่น้ำถูกสร้างในรูปแบบที่สามารถรองรับระดับน้ำท่วมสูงได้ แต่ปัจจุบัน ภาวะโลกร้อนและปัจจัยอื่น ๆ ได้เพิ่มปริมาณน้ำท่าของฝนที่ตกลงมาในพื้นที่อย่างมีนัยสำคัญ และภาวะน้ำท่วมรุนแรงกำลังเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่กำลังทวีความรุนแรงในเมืองนี้
รติมาภรณ์ ปกรณ์ คนขับเรือวัย 23 ชาวอยุธยา ผู้ซึ่งบ้านถูกน้ำท่วมใหญ่ในปี 2564 ที่ผ่านมาหลังภาวะฝนตกหนักมากจนเกิดอุทกภัยใหญ่ เล่าว่า “พื้นที่บ้านของเธอประสบภาวะน้ำท่วมเกือบทุกปีในระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันไปในแต่ละปี ปีที่ผ่านมา น้ำมาจากทุกทิศทุกทางท่วมถึงระดับน่อง”



ด้วยสถานภาพเมืองมรดกโลก เมืองหลวงเก่าอย่างอยุธยาจึงดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยือน และจำนวนมากเลือกที่จะท่องดูวัดที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ ด้วยเส้นทางน้ำ รติมาภรณ์มีรายได้ยังชีพด้วยการให้บริการรองรับกิจกรรมท่องเที่ยวทางเรือดังกล่าว
“มันสกปรก” รติมาภรณ์ให้ความเห็นต่อขยะพลาสติกที่พบลอยตามสายน้ำเป็นภาพเจนตา และบ่อยครั้งเข้ามาติดใบพัดเรือของเธอ ซึ่งทำให้เธอกังวลว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวอยุธยาได้



พลาสติกคลั่กอุดตันคลอง
ช่วงไหลลดเลี้ยวลัดผ่านพื้นที่ประชากรหนาแน่นในภาคกลางของไทย สู่มหานครสมัยใหม่ เมืองหลวงของประเทศอย่างกรุงเทพฯ แม่น้ำเจ้าพระยาถูกปฏิบัติราวหน่วยรองรับขยะทุกประเภท
แทบไม่ต่างจากอยุธยา กรุงเทพเติบโตจากการตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่คลองที่ยืมน้ำจากเจ้าพระยาเพื่อสร้างเส้นทางคมนาคมที่สะดวกยิ่งขึ้น ลำคลองเหล่านี้ยังคงความสำคัญเชิงเอกลักษณ์เฉพาะของมหานครในวันนี้ ที่ซึ่งมีคลองจำนวนมากถึง 1,161 คลอง ที่เป็นบ้านของผู้มีรายได้ต่ำจำนวนมากกว่า 23,500 ครัวเรือน คลองเหล่านี้จำนวนมากคลั่กด้วยขยะพลาสติก
ศิระ ลีปิพัฒนวิทย์ เป็นผู้นำชุมชนที่โตมากับคลองบางกอกใหญ่
ชุมชนจำนวนมากตลอดสองฝั่งคลองในกรุงเทพฯ ยากที่จะเข้าถึงได้ด้วยถนน นั่นทำให้เกิดความยากลำบากแก่เจ้าหน้าที่เทศบาลที่จะเข้าไปให้บริการรับเก็บขยะด้วย การโยนขยะทิ้งลงน้ำจึงเป็นวัตรปฏิบัติของผู้คนมานมนาน แม้ตอนนี้จะเป็นสิ่งที่ผิดกฏหมายและสามารถถูกปรับได้ ศิระ อธิบายว่า มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะหาคนผิด บ้านเรือนตั้งเหนือสายน้ำ และเจ้าของบ้านก็สามารถเปิดหน้าต่างและโยนถุงขยะลงน้ำตอนไม่มีใครเห็นอย่างง่ายดาย ตอนกลางคืน เขากล่าวยกตัวอย่าง
นี่เคยเป็นวิธีง่ายที่สุดที่จะจัดการขยะบ้านเรือน แต่ในอดีต ขยะส่วนใหญ่เป็นขยะอินทรีย์ ทุกวันนี้ ของทุกอย่างถูกห่อหุ้มด้วยพลาสติก ไม่แค่ในกรุงเทพฯ แต่เกิดขึ้นทั่วประเทศไทย





บ่ายวันจันทร์ที่คลองบางกอกใหญ่ เรือหางยาวพานักท่องเที่ยวล่องเรือเข้ามา ขณะที่เด็ก ๆ กำลังว่ายเล่นน้ำที่มีขยะรองเท้าแตะเก่าและเศษพลาสติกโพลีสไตรีนลอยอยู่ อย่างไรก็ตาม น้ำที่นี่ยังถือว่าอยู่ในระดับสะอาดโดยเปรียบเทียบ อีกฝั่งของเมือง ที่คลองลาดพร้าว ภาพที่เห็นจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง น้ำที่นั่นมีสีดำคล้ำคล้ายน้ำมันดินตลอดสาย พร้อมกลิ่นเน่าเหม็นคลุ้ง
“มันเกิดจากน้ำทิ้งและขยะทุกรูปแบบ” สำเนียง บุญลือ ชายวัย 66 ผู้เกือบทั้งชีวิตอาศัยอยู่อยู่ในชุมชนคลองลาดพร้าวอธิบาย เขาเล่าว่า คลองถูกสร้างเพื่อช่วยระบายน้ำฝนในเขตเมืองสู่แม่น้ำเจ้าพระยา กว่า 30 กิโลเมตรของความยาวคลองเป็นที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้ต่ำกว่า 7,00 ครัวเรือน


สำเนียง เล่าย้อนว่าในอดีตที่นี่เคยเป็นพื้นที่นาข้าว แต่พอประชากรในเมืองเพิ่มขยาย ผืนนาข้าวก็กลายเป็นแหล่งนิยมสำหรับคนจากชนบทที่อพยพเข้ามาตั้งรกรากในกรุงเทพฯ
“ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่นี่ มีบ้านเพิ่มขึ้นตลอดสองฝั่งแม่น้ำหลังจากที่คนแห่อพยพเข้ามา และก็มีการใช้พลาสติกมากขึ้นเรื่อย ๆ” สำเนียงกล่าว
ในความพยายาม “ทำความสะอาด”
สำเนียงปัจจุบันทำงานกับมูลนิธิแห่งหนึ่งชื่อ TerraCycle Global Foundation ซึ่งเป็นโครงการหนึ่งของบริษัทเอกชนด้านรีไซเคิลชื่อ TerraCycle มูลนิมีวัตถุประสงค์เพื่อดักจับขยะพลาสติกในแม่น้ำและลำคลองก่อนที่จะไหลลงสู่ทะเล โดยโครงการในพื้นที่ลาดพร้าวของมูลนิธิเริ่มดำเนินการเมื่อ กรกฏาคม 2563




ป่าชายเลนและสัตว์ทะเล
ป่าชายเลนขึ้นรอบบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยมีภาวะน้ำกร่อยที่เหมาะสม อันเป็นผลจากการประสานกันของน้ำจืดจากแม่น้ำและน้ำเค็มจากทะเลอ่าวไทย ณ ปากแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่ป่าชายเลนเปื้อนโคลนในเขตจังหวัดสมุทรปราการเต็มไปด้วยขยะพลาสติก ภาพสะท้อนที่เป็นราว “พินัยกรรม” ที่บ่งบอกว่าแม่น้ำแห่งนี้ได้ ”สะสมสมบัติ (รองรับขยะ) มามากเพียงไรในชีวิตของ ก่อนถึงจุดสิ้นสุดของสายน้ำ



ส่วนขยะที่หลุดรอดจากการดักจับโดยธรรมชาติของรากไม้ที่สานพันกันในพื้นที่ป่าชายเลน ก็จะถูกพัดพาไปกับสายน้ำสู่อ่าวไทย
แม่น้ำเป็นแหล่งสำคัญที่ก่อให้เกิดขยะพลาสติกในทะเลทั่วโลก รศ.สุชนา ชวนิชย์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในกรุงเทพ กล่าว “เราประมาณการณ์ว่า 1-2 ล้านตันของขยะพลาสติกจากแม่น้ำที่มีจุดจบอยู่ในทะเล” สถานการณ์แย่เป็นพิเศษในเอเชีย ที่ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีแม่น้ำที่ปนเปื้อนมลพิษมากที่สุด 20 อันดับแรกของโลก
ซึ่งส่งผลต่อสัตว์ทะเลอย่างมีนัยสำคัญ ไม่เพียงทำให้พวกมันติดอยู่ในซากพลาสติก แต่ยังรวมถึงการกินพลาสติกเข้าไปด้วยเข้าใจผิดว่าเป็นอาหารด้วย
ในปี 2561 วาฬนำร่อง หรือ Pilot Whale ถูกพบว่าเสียชีวิตในภาคใต้ของไทย หลังจากกลืนถุงพลาสติก 80 ถุงเข้าไป และส่งผลให้มันไม่สามารถกินอาหารได้
สุชนา อธิบายว่า สัตว์อย่างฉลามและเต่าทะเล “เป็นสายพันธุ์นักล่าที่ควบคุมระบบนิเวศในทะเล หากประชากรพวกมันลดลง เสียชีวิตจากการกินพลาสติกเข้าไป จะส่งผลต่อความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ”
ปัญหาใหญ่ เรื่องไมโครพลาสติก
ในคราที่แม่น้ำเจ้าพระยาเดินทางถึงทะเล ขยะพลาสติกจำนวนมากที่แม่น้ำพัดพามาได้กลายสภาพเป็นชิ้นส่วนพลาสติกขนาดเล็กมากที่ยากจะมองเห็นได้ด้วยตา เรียกว่า “ไมโครพลาสติก” (ตามนิยามคือชิ้นส่วนพลาสติกที่มีขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร)
งานวิจัยพบว่า ไมโครพลาสติกเป็นอันตรายต่อสุขภาพของระบบนิเวศป่าชายเลน เพราะเข้าไปขัดขวางการแลกเปลี่ยนก๊าซและปล่อยสารเคมีอันตรายออกมา นอกจากนี้ยังเข้าไปในห่วงโซ่อาหารของสัตว์น้ำ ไม่นับกับการปนเปื้อนที่มาถึงผู้บริโภคสัตว์น้ำอย่างมนุษย์เรา “นักวิทยาศาสตร์พบว่าคนเราสามารถได้รับไมโครพลาสติกผ่านทั้งอาหารที่เรากิน น้ำที่เราดื่ม และอากาศที่เราหายใจ” สุชนา กล่าว




มีการพบการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกในเลือดมนุษย์ด้วย ผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์ยังคงเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่สำหรับวงการวิจัยปัจจุบัน และต้องการเวลาในการหาความเกี่ยวข้อง แต่ล่าสุด มีการศึกษาที่ชัดเจนแล้วว่า การบริโภคอาหารทะเลที่ปนเปื้อนไมโครพลาสติกสามารถส่งผลต่อสุขภาพของคน
“โร้ดแมพ” สู่การป้องกันมลพิษพลาสติก?
ในปี 2562 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไทยได้เผยแพร่ “แผนที่นำทาง การจัดการขยะพลาสติก (2561-2573)” แผนกรอบเป้าหมายเพื่อให้บรรดาหน่วยงานราชการที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวข้องดำเนินการลดขยะพลาสติก รวมถึงข้อเสนอให้มีการแบน (ห้ามใช้) พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง 4 ชนิดภายในปี 2565 คือถุงพลาสติกชนิดน้ำหนักเบา ภาชนะบรรจุอาหารโพลีสไตรีน แก้วและหลอดพลาสติก อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ได้ส่งผลรบกวนต่อเป้าหมายที่ต้องการจะบรรลุเหล่านี้ ซ้ำมีรายงานเปิดเผยอีกว่า “โควิด-19” ได้กระตุ้นให้มีการใช้พลาสติกเพิ่มขึ้น



ในปี 2564 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้ประกาศความร่วมมือกับองค์กรไม่แสวงกำไร “The Ocean Cleanup” เพื่อดำเนินการแก้ปัญหามลพิษพลาสติกในแม่น้ำเจ้าพระยา โครงการรวมถึงการประยุกต์ใช้เรือที่เรียกว่า “อินเตอร์เซปเตอร์ (Interceptor)” เพื่อเก็บขยะเศษซากพลาสติก และติดตามการไหลของพลาสติกผ่านการติดอุปกรณ์ติดตามที่ขวด และการติดตั้งกล้องบนสะพานตลอดลำน้ำเจ้าพระยา
“(จากงานวิจัย) ทำให้เราสามารถวัดได้อย่างแม่นยำถึงปริมาณขยะ (พลาสติก) ที่ไหลผ่านแม่น้ำ” สุชนากล่าว “หวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์มาก ๆ กับการจัดการที่นี่ในอนาคต”
แม้จะมีความพยายามดำเนินการของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนของไทย ในการจัดการขยะพลาสติกในแม่น้ำและทะเล สุชนาย้ำว่า ทางออกที่ดีที่สุด คือการป้องกันไม่ให้พลาสติกถูกทิ้งลงสู่ทางน้ำตั้งแต่ต้น

“เมื่อขยะพลาสสติกไหลจากแม่น้ำลงสู่ทะเล .. มันต้องใช้เวลามากถึง 500-600 ปีถึงจะย่อยสลาย ดังนั้นคุณจะเห็นว่าครั้นเมื่อมันไปอยู่ที่นั่น มันจะคงอยู่เกือบตลอดไป” สุชนา กล่าว
สำหรับชาวชุมชนบางกอกใหญ่อย่างสิระ ลีปิพัฒนวิทย์เขากล่าวปิดท้ายว่า “นี่คือปัญหาของมนุษยชาติ ไม่ใช่แค่ของชุมชนที่อยู่ริมน้ำ มันเป็นปัญหาสำหรับทุกชีวิตที่เกิดจากเรา มนุษย์”
หมายเหตุ
- บทความชิ้นนี้แปลและเผยแพร่ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง GreenNews กับ chinadialogue สำนักงานเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากบทความต้นฉบับ Plastic river: Following the waste that’s choking the Chao Phraya ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง The Third Pole และ China Environment Forum’s Turning the Tide on Plastic Waste in Asia initiative และสามารถอ่านได้ที่ Wilson Center’s New Security Beat blog
- Wanpen Pajai นักข่าวที่พำนักอยู่ในกรุงเทพฯ รายงานว่าด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ติดตามผลงานเธอได้ทางทวิตเตอร์ @wanpen_pajai
- Mailee Osten-Tan นักข่าวมัลติมีเดียประจำอยู่กรุงเทพฯ มักรายงานข่าวเชิงสำรวจปัญหาสังคมในมุม social exclusion มุมด้านเพศ gender discrimination และการปรับตัวรับมือ resilience ติดตามผลงานเธอได้ทางอินสตาแกรม @maileeostentan หรือเว็บไซด์ www.maileeostentan.com