“ห้ามเผาเหมารวม” ทำไร่หมุนเวียน “อ่วม” ที่บ้านกะเหรี่ยงแม่ส้าน

มาตรการห้ามเผาเหมารวม นโยบายบ่อนทำลาย ‘ไร่หมุนเวียน’ : กรณีชุมชนกะเหรี่ยงบ้านแม่ส้าน จ.ลำปาง

GreenOpinion : พชร คำชำนาญ*

(ภาพ : พชร คำชำนาญ)

ในปี 2564 ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสลงพื้นที่ สังเกตการณ์การทำไร่หมุนเวียนของชุมชนชาวกะเหรี่ยงบ้านแม่ส้าน อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง ในช่วงปลายของฤดูกาลเผาไร่ จนถึงช่วงต้นของฤดูกาลเพาะปลูก เพื่อจัดทำ “รายงานผลกระทบจากนโยบายของรัฐต่อระบบการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน”

ด้วยข้อสันนิษฐานว่า “มาตรการห้ามเผาเด็ดขาด” ตามประกาศของแต่ละจังหวัดนั้น นอกจะไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหา PM 2.5 และไฟป่าแล้ว ยังจะสร้างผลกระทบต่อประชาชนในเขตป่า โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีวิถีชีวิตที่ต้องพึ่งพิง “ไฟ” และระบบนิเวศป่า

ระบบการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน คือ วิถีการเกษตรที่ทำกินบนพื้นที่เป็นเวลา 1 ปี แล้วหมุนเวียนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เพื่อให้พื้นที่เดิมได้พักฟื้นดินและแร่ธาตุในดินอีกครั้ง โดยระยะเวลาการหมุนเวียนนั้นขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในแต่ละพื้นที่ โดยทั่วไปจะไม่ต่ำกว่า 5 ปี และอาจยาวนานได้ถึง 10 ปี พื้นที่ที่ปล่อยพักฟื้นไว้นั้นจะเรียกกันว่า ‘ไร่เหล่า’ หรือ ‘ไร่ซาก’ 

ไร่หมุนเวียนมักถูกรัฐมองว่าเป็น ‘ไร่เลื่อนลอย’ และความจำเป็นในการทำการเกษตรวิถีนี้ที่ต้องมีการตัดและเผา (Slash and burn) ก็ถูกมองว่าเป็นการเผาป่าและเพิ่มฝุ่นละอองขนาดเล็กสู่ชั้นบรรยากาศ อย่างไรก็ตามมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันได้ว่าระบบการเกษตรแบบไร่หมุนเวียนมีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และยังมีคุณค่าในแง่การลดความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ควบคู่กับการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้ชุมชน

และต้องขอออกตัวก่อนว่าเนื้อหาที่จะได้อ่านหลังจากนี้ ผู้เขียนเน้นเสียงสะท้อนจากชุมชนผู้ได้รับผลกระทบเป็นหลัก เนื่องจากเป็นเสียงของกลุ่มชาติพันธุ์ชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ยังไม่ได้รับการรับฟัง และหวังว่าจะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนเพื่อปรับปรุงนโยบายให้สอดคล้องกับวิถีชุมชนในอนาคต

(ภาพ : พชร คำชำนาญ)

1. มาตรการห้ามเผาเด็ดขาด ตามประกาศจังหวัดลำปาง

บ้านแม่ส้าน หมู่ที่ 6 ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง เป็นชุมชนของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโปว์ที่มีวิถีดั้งเดิมในการทำไร่หมุนเวียน โดยเริ่มถางไร่ในช่วงเดือนมกราคมของทุกปี เริ่มจากป่าแก่ที่มีต้นไม้ใหญ่และกอไผ่ก่อน เพราะต้องใช้เวลาในการตากแดดนาน ตามด้วยไม้อ่อน ขนาดประมาณเท่าแขน-ขา ซึ่งปีนี้ก็ถางไร่ตามช่วงเวลาดั้งเดิม เพื่อเตรียมการสำหรับเผาไร่ในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน

ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางขณะนั้น (2564) ได้มีประกาศจังหวัดลำปางเพื่อป้องกันไฟป่าและหมอกควัน อาศัยอำนาจตามมาตรา 15 มาตรา 21 และมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ประกาศกำหนดให้ทั้ง 13 อำเภอของจังหวัดลำปางงดเว้นการเผาป่า เผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เผาขยะ และเผาวัชพืชข้างทาง เผาในพื้นที่โล่งแจ้งทุกกรณีในพื้นที่จังหวัดลำปาง ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ถึงวันที่ 30 เมษายน 2564 โดยเด็ดขาด ผู้ใดฝ่าฝืนมีความผิดตามกฎหมาย

​การประกาศใช้มาตรการห้ามเผานี้ กระทบต่อปฏิทินการทำไร่หมุนเวียนของชาวกะเหรี่ยงบ้านแม่ส้าน

ในการประชุมกำนันและผู้ใหญ่บ้านประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ได้มีการนำมาตรการนี้มาร่วมพูดคุย และได้กำชับต่อผู้ใหญ่บ้านให้กำกับดูแลการใช้ไฟในพื้นที่ปกครองของตนเอง ซึ่งทำให้ผู้ใหญ่บ้านบ้านแม่ส้านต้องประกาศห้ามชุมชนเผาไร่หมุนเวียนในช่วงเวลาดังกล่าว

ผลที่เกิดขึ้นคือ ชาวบ้านต้องชิงเผาในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งถือว่ายังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเผา เนื่องจากอุณหภูมิยังไม่ร้อนมาก และต้นไม้ที่ตัดฟันไว้ยังไม่แห้งพอ ประกอบกับฝนที่ตกเร็วกว่าทุกปี ทำให้การเผาไหม้ไม่ดี 

(ภาพ : พชร คำชำนาญ)

2. การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ป่าไม้-อุทยานฯ

มาตรการห้ามเผาเด็ดขาด ประกอบกับการจับตามองอย่างเคร่งครัดโดยเจ้าหน้าที่รัฐนั้น ทำให้เกิดการดำเนินการตรวจสอบและควบคุมการใช้ประโยชน์ในพื้นที่อย่างเข้มข้น

กล่าวคือ ชุมชนบ้านแม่ส้านอยู่ในพื้นที่เตรียมการประกาศอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท ซึ่งขณะนั้นเจ้าหน้าที่อุทยานฯ อ้างว่าตรวจพบแปลงบุกรุกป่าใหม่ที่ทำกินนอกแนวเขตที่มีการกันไว้ให้ ในส่วนของกรมอุทยานฯ มีการปฏิบัติการทั้งหมด 2 ครั้ง ตรวจสอบทั้งหมด 4 แปลง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม จำนวนแปลงที่เข้าตรวจสอบทั้งหมด 2 แปลง และครั้งที่สองเมื่อวันที่ 16 เมษายน จำนวนแปลงที่เข้าตรวจสอบทั้งหมด 2 แปลง ข้อสรุปคือ ชาวบ้านยืนยันว่าแปลงทำกินทั้งหมดเป็นแปลงทำกินดั้งเดิมของชุมชน ให้เจ้าหน้าที่รายงานไปที่กรมอุทยานฯ

นอกจากนั้นยังมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ลป.38 (ท่าสี) กรมป่าไม้ เข้ามาตรวจสอบแปลงทำกินในพื้นที่บ้านแม่ส้าน เมื่อวันที่ 23 มีนาคม จำนวนแปลงที่ตรวจสอบทั้งหมด 4 แปลง ซึ่งก็ปรากฏว่าเป็นแปลงทำกินดั้งเดิมของชาวบ้านทั้งหมด

รวมมีการปฏิบัติการเข้ามาตรวจสอบพื้นที่ทำกินทั้งหมด 3 ครั้ง 8 แปลง ซึ่งจากการดำเนินการดังกล่าวนั้นทำให้ ณัฐนนท์ ลาภมา ชาวบ้านแม่ส้าน รู้สึกถึงความไม่มั่นคงในการทำกินตามวิถีดั้งเดิม โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าได้รับคำสั่งมาจากส่วนกลาง ชาวบ้านจึงจำเป็นต้องพาตรวจสอบพื้นที่ให้ได้ข้อสรุปด้วยกัน เพราะเกรงว่าเจ้าหน้าที่จะรายงานผลไม่ตรงตามความเป็นจริง 

​“คือชาวบ้านไม่ได้แผ้วถางไร่หมุนเวียนที่มีรอบหมุนเวียนเยอะก็เพราะแบบนี้แหละ เพราะกลัวจะถูกหน่วยแบบนี้ คือเราจะเผาไร่หมุนเวียนเราก็กลัวจุดความร้อน (Hotspots) ขึ้นอยู่แล้ว แล้วยังต้องมากลัวหน่วยพิทักษ์ไพรพวกนี้อีก กลัวเผาไปก็จะถูกจับ ถูกเข้ามาตรวจสอบ คือมันไม่รู้สึกไม่มั่นคงเลย ชาวบ้านก็กลัวกันหมด

เราต้องถูกคุกคามตลอดเลย จะทำอะไรก็ผิดไปหมด ติดขัดข้อกฎหมายทั้งหมด ทั้งๆ ที่เราทำไร่หมุนเวียน ทำตามวิถีดั้งเดิมเลย ไม่ได้บุกรุกเพิ่ม เราก็มีการทำแนวกันไฟ เคารพนโยบายที่ผู้ว่าฯ แถลงไปแล้วด้วย เรื่องการห้ามเผา รวมทั้งเรามีกฎระเบียบของชุมชนอยู่แล้ว ถ้าจะเผาต้องรายงานให้คณะกรรมการหมู่บ้าน แต่สุดท้ายก็ยังต้องถูกคุกคามแบบนี้” เสียงจากชาวบ้าน

(ภาพ : พชร คำชำนาญ)

3. วิถีเปลี่ยน ผลผลิตลดลง กระทบความมั่นคงอาหาร

​ชาวบ้านแม่ส้านที่ทำกินในรูปแบบไร่หมุนเวียนรู้สึกไม่มั่นใจและไม่มั่นคง เหตุปัจจัยหลักเกิดจากการออกประกาศจังหวัดเกี่ยวกับมาตรการห้ามเผาซึ่งครอบคลุมในช่วงที่ชาวกะเหรี่ยงบ้านแม่ส้านต้องเผาพื้นที่การเกษตรไร่หมุนเวียนพอดี รวมทั้งสภาพภูมิอากาศที่ฝนตกลงมาเร็วกว่าทุกปีทำให้ต้นไม้ที่ถูกตัดฟันไว้เปียกชื้น 

​การชิงเผาก่อนในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์มีผลกระทบเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเผาไหม้ที่อาจจะไม่สมบูรณ์ เพราะเชื้อเพลิงยังไม่แห้งดี ก็ต้องเผาซ้ำหลายครั้ง

นอกจากนั้นการทิ้งช่วงนานเกินไปก่อนการหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวก็ทำให้วัชพืชขึ้นหนาแน่น แปลงใดที่หญ้ารก ไฟไหม้ไม่ดี ก็ต้องใช้แรงในการกำจัดวัชพืชหลายครั้ง อีกทั้ง “ขี้เถ้า” จากการเผาไหม้ซึ่งจะเป็น “ปุ๋ย” ให้เมล็ดพันธุ์ที่หยอดลงไปก็เริ่มถูกฝนชะล้างไป บางแปลงลักษณะหน้าดินเป็นดินสีน้ำตาล แทบจะมองไม่เห็นขี้เถ้าสีดำแล้ว

​“มันไม่ได้เป็นไปตามภูมิปัญญาดั้งเดิมของเรา เผาเร็วไปก็ไม่ได้จะดี เผาก่อนก็เกิดหญ้าตามมา บางทีหยอดข้าวไปแล้ว หญ้าอาจจะโตเร็ว ข้าวโตไม่ทันหญ้า ก็ต้องเสียแรงมาเอาหญ้าอีก 2-3 ครั้ง คือรัฐไม่เข้าใจวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงเลย เขาเอาแต่นโยบาย เอาแต่กฎหมาย ก็เลยสร้างผลกระทบต่อชาวบ้าน จริงๆ ต้องดูเรื่องวิถีชีวิตของชาวบ้านด้วยว่าเขาจำเป็นต้องใช้ไฟจริงๆ” ณัฐนนท์ ลาภมา กล่าว

​ส่วนการเผาไร่หมุนเวียนในช่วงการประกาศมาตรการห้ามเผา ก็เป็นช่วงที่ฝนตกลงมาแล้ว โดยปรกติชาวบ้านต้องกำจัดเชื้อเพลิงในไร่หมุนเวียนตั้งแต่เดือนมีนาคม ซึ่งตามประสบการณ์ของชุมชนนั้นจะมีโอกาสที่ฝนจะตกลงมาน้อยมาก รวมทั้งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะชุมชนจะยังคงมีเวลาทำความสะอาดไร่หมุนเวียน หรือ “โก่คึ” ก่อนจะหยอดเมล็ดพันธุ์ วัชพืชก็จะไม่ขึ้นมากเกินไป ภายหลังตกอยู่ในความหวาดระแวงในช่วงมาตรการห้ามเผา ประกอบกับการถูกคุกคามและจับตามองอย่างต่อเนื่องจากเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไทมาตลอด 1 เดือนเต็ม เมื่อฝนแรกเริ่มมาเยือนในเดือนเมษายน ก็เหมือนหายนะมาเยือนชุมชน ชาวบ้านจึงกลับมาคิดเรื่องการละเมิดประกาศจังหวัด โดยการตัดสินใจเผาไร่หมุนเวียนในเดือนเมษายน ซึ่งก็ไม่ได้เกิดผลดี

​สมคิด ทิศตา ชาวบ้านแม่ส้าน กล่าวว่า การเผาไร่หมุนเวียนในช่วงเดือนเมษายนที่ฝนตกนี้ ทำให้การเผาไหม้ไม่ดีเพราะมีความชื้นมาก วัชพืชจากการแผ้วถางก็เริ่มขึ้นมามากแล้ว เผาไปก็จะไหม้ไม่ดี รวมทั้งจะทำให้ผลผลิตข้าวในปีนี้ไม่ดี เพราะช่วงเวลาทิ้งไร่หมุนเวียนภายหลังการเผามีน้อยเกินไป จากการประเมินของชาวบ้าน ระบุว่าปีนี้จะได้ผลผลิตน้อยกว่าปีที่แล้วพอสมควร

​“ผลผลิตปีนี้จะน้อยลง จะไม่เต็มร้อย คือเราได้รับผลกระทบจากนโยบายห้ามเผาแบบนี้มาหลายปีแล้ว แต่ปีที่แล้วฝนมันมาช้า เราก็ยังสามารถเผาได้อยู่ ปีนี้ฝนมาเร็วมาก เราคงต้องเอาวัชพืชออกอีกหลายครั้ง ต้องใช้แรงเยอะขึ้น ในขณะที่ผลผลิตจะน้อยลง จริงๆ บรรพบุรุษของเราเขาออกแบบไว้หมดแล้ว แต่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนแปลงหมด อาหารอื่นๆ ในไร่หมุนเวียน เช่น แตง พริก มัน เผือก ก็จะน้อยลงด้วย ผลผลิตพวกนี้จะได้น้อยลง แคระแกร็น สารพัดอาหารในไร่หมุนเวียนจะไม่อุมดมสมบูรณ์เหมือนเดิม” สมคิด ทิศตา กล่าว

​นอกจากนั้น ยังพบว่ามีชาวบ้านบางครอบครัวจำเป็นต้องทำกินซ้ำในพื้นที่เดิมที่เป็นไร่พักฟื้นปีที่ 1 เพราะเกรงว่าจะไม่ได้เผาไร่หมุนเวียนในช่วงฝนตก แสดงให้เห็นว่าชุมชนถูกบีบอย่างหนักจากมาตรการของรัฐ 

“ชาวบ้านฟังนโยบายรัฐ เขากลัว เขาก็เลยต้องฟัง สุดท้ายฟังไปแล้วยังไง ก็ได้ผลผลิตไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ชาวบ้านบางคนต้องไปทำกินในพื้นที่ไร่เหล่าปีที่หนึ่ง ไปทำซ้ำที่เก่า เพราะกลัวว่าพอไปถางไร่หมุนเวียนโตๆ จะถูกรับกล่าวหาว่าไปบุกรุกป่า วิถีชุมชนเริ่มเปลี่ยน แต่ผลผลิตไม่ดีเลย เราก็ไม่ได้อยากทำ อยากจะทำแบบบรรพบุรุษ การทำซ้ำๆ เราก็เคยทำแล้ว จากเดิมข้าวได้ 100 ถัง ปีต่อมาจะได้สัก 50 ถัง ลดลงมาครึ่งหนึ่งเลย แล้วถ้าซ้ำไปอีกหลายๆ ปี มันจะลดลงขนาดไหน” สมคิด ทิศตา ย้ำ

(ภาพ : พชร คำชำนาญ)

4

ชุมชนกะเหรี่ยงบ้านแม่ส้านจัดการทรัพยากรครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางถึง 18,102 ไร่ ในจำนวนนั้นมีพื้นที่ไร่หมุนเวียน 7,407 ไร่ 94 แปลง รวมถึงมีพื้นที่ 223 ไร่ ที่ชุมชนกันไว้เป็นพื้นที่ “ป่าใช้สอย” สำหรับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในป่า โดยเฉพาะเก็บหาอาหารตามฤดูกาลบริโภคในครัวเรือนและเป็นฐานเศรษฐกิจชุมชน ซึ่งชาวกะเหรี่ยงบ้านแม่ส้านได้ร่วมกันดูแลจัดการผืนป่าผืนนี้มาหลายชั่วอายุคน

เริ่มตั้งแต่ต้นปี ชาวกะเหรี่ยงบ้านแม่ส้านใช้เวลาร่วม 3 เดือน ตั้งแต่กุมภาพันธ์จนถึงเมษายนในการดูแลผืนป่าจากไฟป่า ด้วยการทำแนวกันไฟความยาวถึง 36 กิโลเมตรล้อมรอบพื้นที่แนวเขตชุมชน สร้างจุดเฝ้าระวังไฟป่าตลอด 24 ชั่วโมง และลาดตระเวนในพื้นที่ป่าที่ชุมชนดูแลเพื่อให้สามารถดับไฟได้อย่างทันท่วงที ทั้งหมดนี้เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของชุมชน เพราะป่าคือบ้านและแหล่งความมั่นคงทางอาหารที่ไม่อาจปล่อยให้เสื่อมโทรมได้

“การดับไฟป่าแต่ละจุด แต่ละครั้ง แม้จะยากหรือลำบากแค่ไหนเราก็ไม่ท้อ ชาวบ้านดับไฟป่าด้วยภูมิปัญญาโดยนำต้นกล้วยป่ามาประกบกับต้นไม้ที่กำลังติดไฟอยู่ ต้นกล้วยจะมีน้ำและความเย็นเพียงพอที่จะดับไฟได้ เราจะเอามาถมตอไม้แห้งหรือรากไม้ที่กำลังติดไฟอยู่ และตัดไม้ไผ่มากั้นไว้ เพื่อป้องกันเศษไม้ที่ติดไฟตกไปไหม้ต่อไปในบริเวณอื่น” ณัฐนนท์ ลาภมา ชาวกะเหรี่ยงบ้านแม่ส้านกล่าว

นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนความรักและหวงแหนผืนป่าของชาวกะเหรี่ยง ผ่านกระบวนการลงมือปฏิบัติในช่วงฤดูกาลไฟป่าของทุกปี และแน่นอนว่าการดำเนินการของชุมชนเช่นนี้กำลังไปทิศทางที่ตรงกันข้ามกับมาตรการของรัฐที่ยังมุ่งเน้นการจำกัดไฟในพื้นที่ป่าอย่างไม่แยกแยะ รวมศูนย์อำนาจและผูกขาดอยู่ที่หน่วยงานรัฐ ปฏิเสธการใช้ไฟตามวิถี ตอกย้ำมายาคติด้านลบ และมุ่งการตรวจจับปราบปรามเป็นหลัก 

นำมาสู่ข้อเรียกร้องของชุมชนให้ยกเลิกมาตรการห้ามเผาเด็ดขาด เนื่องจากมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตการทำไร่หมุนเวียนและการใช้ไฟในพื้นที่แปลงเกษตรที่มีความจำเป็น รวมทั้งมาตรการนั้นยังเป็นการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันที่ปลายเหตุ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพจริง เป็นเพียงการใช้มาตรการเป็นเครื่องมือในการทำลายและลดความชอบธรรมของระบบการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน หาแพะรับบาปเท่านั้น 

(ภาพ : พชร คำชำนาญ)

*พชร คำชำนาญ 

บัณฑิตนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ เจ้าหน้าที่สื่อสารองค์กร มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ ผู้ประสานงาน ภาคี#Saveบางกลอย และขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ P-move ผู้นิยามตัวเองว่า “ผู้สนใจศึกษาและต่อสู้เพื่อสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์”