พม.-พอช.-สภาองค์กรชุมชน ความสัมพันธ์ที่ฉุดรั้งความก้าวหน้าขบวนปช.

GreenOpinion : เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์

“ร้อนฉ่าและน่าคิดต่อ” บทวิพากษ์ “พอช.” ผ่านบทสนทนา “เลิศศักดิ์-เพื่อน”

ทรรศนะต่อเนื่องเป็นเสมือนภาคต่อข้อเสนอของ “เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์” หัวหน้าพรรคสามัญชน นักกิจกรรมทางสังคมด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ว่าด้วย สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ ที่เพิ่งนำเสนอสาธารณะเมื่อ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา 

5 ประเด็นสนทนา รวมถึง “พอช. ไม่ได้ถูกแทรกแซง? ต้องช่วยหนุน พอช. ? แก้กฏหมาย พอช. ด้วยการเข้าชื่อแล้ว พอไหม? พอช. กับเวทีรับฟังร่าง พรบ.ควบคุมการรวมกลุ่ม “พอช. ทำดีที่สุดแล้ว – วิจารย์ได้แต่ควรแยกแยะ ไม่สร้างศัตรูเพิ่มโดยไม่จำเป็น ?” และ “เครื่องแบบ พอช. ส่ออะไร ?”

นับเป็นอีกบทสนทนา ที่น่าจะนำไปสู่การโปร่งใส-ตรวจสอบการทำงานของ พอช. ในฐานะ “กลไกเอ็นจีโอใต้โครงสร้างรัฐ” ที่น่าขบคิดทั้ง “คนวงใน” และ “คนวงนอก” ไม่น้อย

(ภาพ : พอช.)

พอช. ไม่ได้ถูกแทรกแซง?

หลังจากเขียนบทความเรื่อง ‘จุดยืนที่ถูกต้องของสภาองค์กรชุมชนต่อร่างกฎหมายควบคุมการรวมกลุ่มของประชาชน’ เผยแพร่ไปในสื่อช่องทางต่าง ๆ เมื่อต้นเดือนมีนาคมนี้  เพื่อวิพากษ์วิจารณ์หรือให้ข้อคิดแก่สภาองค์กรชุมชนว่าควรมีจุดยืนและท่าทีอย่างไรต่อร่างกฎหมายควบคุมการรวมกลุ่มของประชาชนที่รัฐบาลกำลังผลักดันโดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและภัยความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นอยู่ในขณะนี้ 

ก็มีเพื่อนในแวดวงเอ็นจีโอสื่อสารกลับมาเพื่อขอทำความเข้าใจว่า 

“1. สภาองค์กรชุมชนแม้จะได้รับการสนับสนุนจาก พอช. (สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)) ก็เป็นการให้ความสนับสนุนตามกฎหมายที่ พอช. ต้องให้กับทางสภาองค์กรชุมชน  มีงบประมาณจัดสรรให้ชัดเจน  ไม่ได้มีประเด็นว่าถ้าสภาองค์กรชุมชนประพฤติตัวไม่ดีจะไม่ให้งบฯ  เรื่องนี้ พอช. ไม่สามารถทำแบบนั้นได้

2. ในช่วงที่ผ่านมายังมีกรณีที่สภาองค์กรชุมชนเคลื่อนไหวกดดันขอให้รัฐมนตรี พม. ลาออก  อันเนื่องมาจากการแทรกแซงของรัฐมนตรี พม. ต่อ พอช.  สภาองค์กรชุมชนก็ทำมาแล้ว

3. ผู้นำสภาองค์กรชุมชนแต่ละคนต่างก็มีแนวทางทิศทางของตนเอง  อย่างไรก็ตาม  แกนนำระดับชาติและผู้นำสภาองค์กรชุมชนส่วนใหญ่ต่างมีทิศทางชัดเจนในเรื่องการทำงานที่เป็นอิสระ (ไม่ได้ถูกครอบงำจาก พอช. ตามที่ผู้เขียนกล่าวหา)  มีแนวทางและเป้าหมายชัดเจน  ไม่ได้คล้องจองไปกับรัฐหรือ พอช.  ดังที่จะมีข้อเรียกร้องต่อรัฐต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในทุก ๆ ปีต่อประเด็นปัญหาต่าง ๆ ของบ้านเมือง”

ต้องช่วยหนุน พอช. ?

จึงได้ตอบกลับไปว่าขอบคุณที่ให้ข้อมูล

“แต่ข้อเท็จจริงที่รับรู้และเห็นมายังมีการครอบงำจาก พอช. ต่อสภาองค์กรชุมชนมาโดยตลอด”

เพื่อนจึงตอบกลับมาว่า

“สภาองค์กรชุมชนรับรู้และต่อสู้ดิ้นรนมาตลอด  แพ้บ้าง  ชนะบ้าง  แต่ยังสู้อยู่  อยู่ที่ภาคประชาสังคมและเครือข่ายจะช่วยกันหนุนช่วยอย่างไรด้วย”

จึงตอบกลับไปว่า

“(ก่อนที่จะมาขอให้ภาคประชาสังคม  กลุ่ม/องค์กร/ขบวนประชาชนอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในสังกัดสภาองค์กรชุมชนตามกฎหมายสภาองค์กรชุมชนหนุนช่วย)  สภาองค์กรชุมชนคงต้องช่วยตัวเองก่อนด้วยการเสนอแก้กฎหมายสภาองค์กรชุมชนเพื่อเอาตัวเองออกมาจากการครอบงำของ พอช.  ผู้ใหญ่บ้าน  กำนัน  องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสียก่อน (ไม่ใช่เอะอะอะไรก็จะมาขอให้คนอื่นช่วย  ทีตัวเองยังไม่เคยเห็นช่วยคนอื่นเลย  โดยเฉพาะกับชาวบ้านที่ลุกขึ้นมาต่อสู้คัดค้านโครงการพัฒนาขนาดใหญ่  นโยบายและกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมทั้งหลาย  ส่วนใหญ่อยากเป็นสภาองค์กรชุมชนกันก็เพื่อให้มีตำแหน่งหัวโขนให้ได้รับการยอมรับในระบบราชการ  ไม่เคยคิดที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับรัฐและทุนอย่างจริงจัง)” 

ข้อความในวงเล็บที่อยู่ในเครื่องหมายคำพูดในย่อหน้านี้ไม่ได้กล่าวออกไป  แต่อยู่ในบริบทที่คู่สนทนาน่าจะเข้าใจได้ว่าผู้เขียนต้องการสื่อสารประเด็นนี้

“แก้กฏหมาย พอช. ด้วยการเข้าชื่อแล้ว” พอไหม?

บทสนทนาของเราสองคนยังไม่จบแค่นี้

เพื่อน :

“ใช่  เป็นงานสำคัญหนึ่งที่สภาองค์กรชุมชนผลักดัน  ตอนนี้ทำกฎหมายเข้าชื่อ  ได้รายชื่อครบแล้ว  เข้าสู่กระบวนการทางสภาแล้ว (เข้าชื่อเพื่อขอแก้ไขพระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. 2551)  แม้เราจะรับรู้กันอยู่ถึงข้อจำกัดทางรัฐสภา  แต่ก็ต้องทำ  เป็นกระบวนการเรียนรู้ของชาวสภาองค์กรชุมชนด้วย”

ผม :

“สิ่งที่สภาองค์กรชุมชนต้องทำ  คือ 

(1) ประกาศต่อสาธารณะดัง ๆ ว่าไม่เห็นด้วยกับที่ พอช. ไปเป็นลูกมือให้ พม. จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นร่างกฎหมายนี้  แล้วดึงสภาองค์กรชุมชนไปพัวพันด้วย  

(2) ออกมาชุมนุมเคลื่อนไหวร่วมกับพี่น้องอื่น ๆ ให้มากกว่านี้  เช่นวันที่ 24 มีนาคมนี้ที่พวกเราจะไปชุมนุมกันที่ พม.[*]  ไม่ใช่กำหนดบทบาทตัวเองเพียงแค่การแสดงความคิดเห็นในเวทีรับฟังฯของ พม.  

และ (3) ประณามเวทีรับฟังฯของ พม. ต่อสาธารณะให้มากกว่านี้  ไม่ใช่แค่แสดงความคิดเห็นในเวทีรับฟังฯว่าไม่เห็นด้วยก็ถือว่าพอแล้ว”

(ภาพ :เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์)

พอช. กับ เวทีรับฟัง “ร่าง พรบ.ควบคุมการรวมกลุ่ม”

เพื่อน :

“1. เวทีรับฟังฯจัดโดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการของ พม. มิใช่จัดโดย พอช. คนละหน่วยงาน กรุณาแยกแยะ ขณะที่ที่มาของร่างกฎหมายนี้ที่ถูกแปรผันมาจาก ‘ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. ….’ ฉบับที่ประชาชนเข้าชื่อกว่าหนึ่งหมื่นรายชื่อ  กลายเป็นกฎหมาย ‘ควบคุม’ การรวมกลุ่มของประชาชนนั้น  ต้นเรื่องมาจากกฤษฎีกา  

2. โดยที่ประชุมของคณะกรรมการดำเนินงานของสภาองค์กรชุมชนได้ทบทวนถกแถลงดูแล้วเห็นว่าควรจะมีสมาชิกเข้าร่วมเวทีรับฟังฯ  เพื่อร่วมแสดงข้อคัดค้านและชี้แจงเหตุผล  แทนที่จะปล่อยให้เป็นเวทีที่อาจจะถูกจัดตั้งให้มีผู้ไปแสดงความคิดเห็นด้วยกับร่างกฎหมายนี้  ซึ่งสมาชิกสภาองค์กรชุมชนได้เข้าร่วมแสดงความเห็นคัดค้านในทุกเวที  ในแง่นี้ได้ผลพอสมควร  อีกอย่างหนึ่ง พอช. หาได้เป็นลูกมือให้ พม. แต่อย่างใด  

3. ขณะนี้ทางสภาองค์กรชุมชนกำลังพยายามระดมคนเข้าร่วมการชุมนุมในวันที่ 24 มีนาคมด้วย

4. วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565  เวลา 09.00 น.  ณ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ  นายอนุกูล ปิดแก้ว  อธิบดีฯ  มอบหมายให้นายกิตติ อินทรกุล  รองอธิบดีฯ  เป็นประธานพิธีเปิดและชี้แจงวัตถุประสงค์เวทีรับฟังความคิดเห็นต่อ ‘ร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ. ….’  สำหรับองค์กรสาธารณประโยชน์และองค์กรสวัสดิการชุมชน (ภาคกลาง)  ผ่านระบบซูม  มีผู้เข้าร่วมจำนวน 216 คน  โดยมีผู้แสดงความคิดเห็นด้วยวาจาจำนวน 29 คน  นอกจากนี้  ยังมีผู้ที่ให้ความคิดเห็นผ่านช่องทางแช็ต 33 คน  ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมเกือบทั้งหมดไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายนี้  เพราะเป็นกฎหมายควบคุมและจำกัดสิทธิการทำงานขององค์กรสาธารณประโยชน์และองค์กรสวัสดิการชุมชน  ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่เป็นจิตอาสา  และไม่ได้รับงบประมาณจากรัฐบาล  

หากรัฐบาลต้องการควบคุมองค์กรที่รับเงินจากต่างประเทศซึ่งมีผลกระทบต่อวิกฤติการณ์ทางการเมือง  ควรจะมีกฎหมายเฉพาะสำหรับองค์กรกลุ่มนี้  

ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมสองคนเห็นด้วยกับร่างกฎหมายนี้ในบางประเด็น  เช่น  การส่งเสริมและสนับสนุนเงินทุนจากภาครัฐ  การรายงานผลการดำเนินการ  แต่ไม่เห็นด้วยในการเข้ามาควบคุมและการมีบทลงโทษที่มีความรุนแรง,  รายงานจากสภาองค์กรชุมชนภาคกลาง”

ผม :

“(1) รู้ครับว่าเป็น พม. จัด  ไม่ใช่ พอช.  แต่อย่าหลีกเลี่ยงที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นที่จะวิจารณ์ พอช. ที่ยอมไปเป็นลูกมือ พม.  ทั้งที่ตัวเองเป็นองค์กรอิสระ (หน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่ส่วนราชการและวิสาหกิจ)  การที่ พอช. เข้าไปเป็นลูกมือแบบนี้ก็ส่งผลต่อการดึงสภาองค์กรชุมชนเข้าไปด้วย (ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ พม. อย่างเป็นเรื่องเป็นราวเพราะเกรงใจ พอช.)  

(2) การที่สภาองค์กรชุมชนแสดงความเห็นว่าไม่เห็นด้วยในเวทีรับฟังฯส่งผลให้ร่างกฎหมายนี้ล้มไปไหม ?  รึไปสร้างความชอบธรรมให้กับร่างกฎหมายนี้ยิ่งขึ้นไปอีก ?  ขอให้คิดลึกกว่านี้ว่าถ้าเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับ พม./รัฐบาล  สภาองค์กรชุมชนก็ควรทำอะไรมากกว่าแค่แสดงความเห็นในเวทีรับฟังฯ  

(3) ขอร้องล่ะอย่าได้พูดว่า พอช. ไม่ได้เป็นลูกมือ พม.  ทั้งที่การกระทำตรงกันข้าม  อย่าบิดเบือน”

(ภาพ : พอช.)

“พอช. ทำดีที่สุดแล้ว – วิจารย์ได้แต่ควรแยกแยะ ไม่สร้างศัตรูเพิ่มโดยไม่จำเป็น” 

เพื่อน :

“1. พอช. อาจเป็นลูกมือ พม. ในเรื่องอื่น ๆ แต่ไม่ใช่เรื่องนี้  เพราะต้องให้เครดิตกับ พอช. ที่หนุนช่วยคัดค้านร่างกฎหมายนี้ด้วย  

2. ประเด็นนี้ถกแถลงกันค่อนข้างมากในที่ประชุมว่าสภาองค์กรชุมชนควรจะเข้าร่วมหรือไม่  ซึ่งสุดท้ายก็มีมติว่าเราควรจะเข้าร่วม  

3. ขณะนี้สภาองค์กรชุมชนก็พยายามผลักดันให้ พอช. ทำบทบาทของตนเองให้ได้มากที่สุด  แต่ก็เห็นด้วยว่ามีข้อจำกัดหลายประการ  เพราะเป็นองค์การมหาชนที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐมนตรี พม.  

4. เห็นด้วยว่าควรวิจารณ์ พอช.  โดยเฉพาะบทบาทของ พม. ที่มีต่อ พอช.  แต่ในการวิจารณ์หากสามารถแยกแยะ  เราก็จะได้เพิ่มมิตรมากกว่าศัตรู (โดยไม่จำเป็น)”

ผม :

“(1) สิ่งที่ พอช. ช่วยคัดค้านร่างกฎหมายนี้แบบที่กำลังทำอยู่นี้ไม่พอหรอก  ถ้าอยากให้สังคมเห็นถึงความจริงใจ  พอช. ควรแถลงออกมาอย่างเป็นทางการเลยว่าไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายนี้  และไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ พม. ทำ (จัดเวทีรับฟังฯ)  

(2) ควรถาม พอช. ว่ามีทัศนคติคล้อยตามรัฐในการแยกแยะชาวบ้าน/ประชาชนกลุ่มไหนบ้างว่าเป็นมิตรหรือศัตรูกับรัฐ,  สิ่งที่ พอช. กำลังทำ (มีทัศนคติคล้อยตามรัฐ) คือแยกแยะว่าเอ็นจีโอ/กลุ่มประชาชนไหน ‘ดี’  เอ็นจีโอ/กลุ่มประชาชนไหน ‘เลว'”

(ภาพ : พอช. codi.or.th)

เครื่องแบบ พอช. ส่ออะไร ?

บทสนทนาของเราที่คุยกันเมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมาจบลงแค่นั้น  จนกระทั่งวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมาก็ได้เห็นผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ พอช. ร่วมใจแต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบแสดงฐานะและตำแหน่งในทุกวันจันทร์ตามนโยบายภาครัฐและมติ ครม. (ดู ภาพประกอบบทความ)[**]

ก็ได้แต่หวังลึก ๆ ว่าสภาองค์กรชุมชนจะไม่มีเครื่องแบบเดินตามรอย พอช. ไปด้วย

คงต้องยกกฎหมายองค์การมหาชนขึ้นมาเตือนสติหรือวิพากษ์วิจารณ์ พอช. ให้หนักกว่าเดิม  เพราะโดยเจตนารมณ์ที่ทำให้ พอช. เป็นองค์การมหาชนตามกฎหมายก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ พอช. เป็นหน่วยงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (แม้ยังจะเป็นหน่วยงานของรัฐอยู่ก็ตาม)  ซึ่งต้องมีระบบคิด  วิธีปฏิบัติ  รวมทั้งการใช้จ่ายงบประมาณที่แตกต่างจากหน่วยงานราชการที่มีความล้าหลัง  อืดอาด  ยืดยาด  ล่าช้า  มีลำดับชั้นการสั่งการมากเกินไป  ไม่เป็นมิตรต่อประชาชน  ไม่ตอบสนองต่อโลกสมัยใหม่ที่ภารกิจการพัฒนาเศรษฐกิจ  สังคม  วัฒนธรรมและการเมืองจำเป็นต้องออกแบบหน่วยงาน/องค์กรใหม่ ๆ ที่ฉีกกรอบระบบราชการ  เพื่อให้มีความเป็นอิสระและคล่องตัวที่จะอุทิศตนและองค์กรเพื่อประโยชน์สาธารณะของประชาชนเป็นที่ตั้ง

แต่เครื่องแบบของ พอช. สะท้อนให้เห็นว่า พอช. ต้องการย้อนกลับไปเป็นระบบราชการ  ถอยห่างจากประโยชน์สาธารณะของประชาชน  เพื่อความอยู่รอดและความมั่นคงขององค์กรตัวเองเป็นหลัก

ซึ่งในมาตรา 5 ของพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 ระบุว่ากิจการอันเป็นบริการสาธารณะที่จะจัดตั้งองค์การมหาชนได้ต้องไม่เป็นกิจการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรเป็นหลัก,  คำว่า ‘ไม่แสวงหากำไร’ คงแสลงหู พอช. มาก  เพราะเป็นคำเดียวกันกับที่ปรากฎอยู่ใน ‘ร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ. ….’ ที่ พม. กำลังจัดเวทีรับฟังฯอยู่ในขณะนี้  จึงอยากที่จะทำให้องค์กร พอช. หนีห่างจากคำ ๆ นี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยใส่เครื่องแบบแสดงตนเป็นเสมือนข้าราชการเสียเลย[***]

อธิบายเพิ่มเติม :

[*] ซึ่งในวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมาก็ได้มีพี่น้องจากสภาองค์กรชุมชนจากทุกภูมิภาคเกือบร้อยคนมาร่วมการชุมนุมในวันนั้นด้วย  ต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้

[**] ในเว็บไซต์สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. (https://web.codi.or.th/20220328-32655/) ได้บรรยายประกอบภาพเพิ่มเติมว่า “ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ พอช. ร่วมใจกันแต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบปฏิบัติงานของสถาบันฯในทุกวันจันทร์เพื่อเป็นการปลูกสร้างจิตสำนึกของความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ  ถือเป็นเครื่อง

แบบแห่งความภาคภูมิใจ  และเป็นชุดอันทรงเกียรติของผู้ปฏิบัติงานทุกคน  ทั้งนี้การแต่งครื่องแบบปฏิบัติงานมีวัตถุประสงค์ประการสำคัญเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่รับใช้แผ่นดินและความรับผิดชอบที่มีต่อประเทศชาติและประชาชน”

[***] แม้จะรู้อยู่ว่า ‘ผลในทางกฎหมาย’ ไม่เกี่ยวข้องกัน  เพราะการไม่แสวงหากำไรตามกฎหมายองค์การมหาชนบังคับใช้ต่อ ‘หน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่ส่วนราชการและวิสาหกิจ’  ส่วนการไม่แสวงหากำไรตามร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไรบังคับใช้ต่อ ‘คณะบุคคลภาคเอกชน’  ซึ่งแตกต่างกัน  แต่สิ่งที่ พอช. ทำ (แต่งเครื่องแบบเสมือนราชการ)  คือ  ‘ผลในทางจิตวิทยาองค์กร’ มากกว่า  เพื่อสร้างความเป็นพวกเดียวกันกับรัฐให้แก่องค์กร พอช. ให้มากขึ้น,  พฤติกรรมเช่นนี้แหละคือการหนีห่างประชาชน

ภาพประกอบบทความ :

เว็บไซต์สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. (https://web.codi.or.th/20220328-32655/)  เผยแพร่เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2565