7 องค์กรเครือข่ายสิ่งแวดล้อม-ประชาสังคม ยื่นศาลปกครอง ฟ้อง 3 หน่วยงานรัฐ-บอร์ด “ละเลยไม่ทำหน้าที่แก้วิกฤตมลพิษอากาศ-PM2.5 ทำประชาชนเผชิญปัญหาสุขภาพ อายุขัยสั้น” พร้อม 4 คำร้องแนบท้าย
ชี้ “สองรมว.-บอร์ดสวล.ชาติ” มีหน้าที่โดยตรง เผย “ละเลย-ล่าช้าชัดเจน” แผนฝุ่นสองปียังร่างไม่เสร็จ
“เมื่อรัฐละเลย-ล่าช้า ประชาชนจึงต้องลุกขึ้นใช้สิทธิ์” นักกฏหมายระบุ ด้านประธานแพทย์ชนบทชี้ “มาตรฐาน PM 2.5 วันนี้ ไม่คุ้มครองสุขภาพประชาชน” ตัวแทนโจทก์ร่วมเผย “เราทนต่อไปไม่ไหวแล้ว-เด็กไม่ควรถูกบังคับให้สูดอากาศอันตราย”
ยื่นฟ้องวันนี้
วันนี้ (22 มี.ค. 2565) ตัวแทน “เครือข่ายภาคประชาสังคมและประชาชนที่ติดตามและผลักดันรณรงค์การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อปกป้องสิทธิทางสิ่งแวดล้อม” ได้เดินทางไปศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อยื่นฟ้องหน่วยงานรัฐใน “คดีฝุ่น PM2.5”
โดยยื่นฟ้องในนาม 7 โจทก์ร่วม ประกอบด้วย มูลนิธิเพื่อสันติภาพเขียว (Greenpeace Thailand) มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) สภาลมหายใจเชียงใหม่ สภาลมหายใจภาคเหนือ นพ. สุภัทร ฮำสุวรรณกิจ ผอ.โรงพยาบาลจะนะและประธานชมรมแพทย์ชนบท และนันทิชา โอเจริญชัย นักรณรงค์ และนักสื่อสารด้านสิ่งแวดล้อมผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม Climate Strike Thailand
และยื่นฟ้อง 3 หน่วยงานรัฐ คือคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะหน่วยงานผู้รับผิดชอบหลักที่ละเลยการปฎิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัดในการคืนอากาศสะอาดซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานให้กับประชาชน
“เนื่องจากสถานการณ์ปัญหามลพิษทางอากาศฝุ่นละออง PM 2.5 ตั้งแต่ช่วงปี 2557 – 2563 พบว่าหลายพื้นที่โดยเฉพาะ พื้นที่กรุงเทพมหานครและพื้นที่ภาคเหนือของไทยมีค่าฝุ่นละออง PM 2.5 สูงกว่าค่ามาตรฐานฝุ่นละออง PM 2.5 ในบรรยากาศ โดยทั่วไปมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประชาชนไทยต้องประสบกับปัญหามลพิษทางอากาศที่รุนแรงต่อสุขภาพอย่างต่อเนื่องมาเป็น เวลายาวนานกว่า 8 ปีแล้ว
หน่วยงานรัฐจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อเป็นการดูแล รักษาสุขภาพประชาชนในประเทศให้มีสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อมที่ดี แต่หน่วยงานรัฐละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร” ส่วนหนึ่งของคำฟ้องระบุ
เผยละเลย-ล่าช้าชัดเจน แผนฝุ่นสองปียังร่างไม่เสร็จ
“เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLaw) และกรีนพีซ ประเทศไทยเข้ายื่นหนังสือต่อกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐทั้งสองแห่งปฎิบัติตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ปี 2562
ต่อมากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ตอบกลับ และแจ้งเพียงว่าได้มีการวัดค่ามาตรฐานฝุ่นละอองจากโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว ซึ่งเป็นการวัดฝุ่นละอองโดยภาพรวม ไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงถึงฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน แต่อย่างใด
รวมถึงกรณีแผนการแก้ปัญหาฝุ่นละออง ปี พ.ศ.2563 ได้แจ้งว่าดำเนินการร่างยังไม่แล้วเสร็จ แม้ปัจจุบันจะเป็นปี พ.ศ.2565 แล้วก็ตาม สำหรับกระทรวงอุตสาหกรรมนั้นได้แจ้งว่า การกำหนดค่ามาตรฐานการปล่อยทิ้งอากาศเสียประเภท PM2.5 จากโรงงาน อยู่ระหว่างการศึกษาและเตรียมจะปรับค่าให้เป็นมาตรฐานสากลต่อไป
หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องยังละเลยและล่าช้าในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศด้านฝุ่นละออง ทำให้ประชาชนต้องอาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรง และมีอายุขัยที่สั้นลง” เครือข่ายโจทก์แถลง
แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ปี 2562
4 คำขอแนบท้ายคำฟ้อง
เครือข่ายแถลงว่า ในท้ายคำฟ้องได้ระบุคำขอท้ายฟ้องในคดีฝุ่น PM2.5 มีสาระสำคัญ 4 ประเด็นคือ
- ให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ออกหรือแก้ไขประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง กำหนดมาตรฐานฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอนในบรรยากาศทั่วไป ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล(WHO-IT3) ตามที่ได้มีการรับฟังความคิดเห็นไปแล้ว คือ ค่าเฉลี่ยราย 24 ชั่วโมงของฝุ่น PM 2.5 อยู่ที่ 37 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และค่าเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
- ให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกันออกหรือแก้ไขประกาศกำหนดค่ามาตรฐานควบคุมมลพิษฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอนจากโรงงานอุตสาหกรรม และแหล่งกำเนิดอื่นใดที่เกี่ยวข้อง ในการปล่อยทิ้งอากาศเสีย ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ออกสู่สิ่งแวดล้อม ตาม มาตรา 55แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 ให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล
- ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ออกหรือแก้ไขประกาศกำหนดค่าปริมาณ ของสารเจือปนในอากาศที่ระบายออกจากโรงงานสู่สิ่งแวดล้อม ให้มีค่าปริมาณฝุ่นละออง ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ไม่เกินกว่ามาตรฐานที่กำหนดและเทียบเท่ามาตรฐานสากล
- ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ออกประกาศกำหนดประเภทสารมลพิษ หรือสารเคมีที่โรงงานต้องจัดทำรายงานข้อมูลตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 27 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 โดยมีการรายงานฝุ่นละออง ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน อยู่ในบัญชีมลพิษและสารเคมีเป้าหมาย และจัดทำทำเนียบ การปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (Pollutant Release and Transfer Register) รวมถึงมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะเพื่อให้ประชาชน ภาคประชาสังคม สามารถมีส่วนร่วมตรวจสอบ ป้องกันผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อมได้
เมื่อรัฐละเลย-ล่าช้า ประชาชนจึงต้องลุกขึ้นใช้สิทธิ์ : นักกฏหมาย
“เมื่อความล่าช้าในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ยังดำรงอยู่ กระทบต่อสิทธิในการดำรงชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีของประชาชน การลุกขึ้นตรวจสอบอำนาจรัฐให้ปฎิบัติหน้าที่ จึงเป็นภารกิจของประชาชนทุกคน
การฟ้องร้องคดีนี้มุ่งหวังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเปลี่ยนแปลงในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายรับรองและคุ้มครองไว้” สุรชัย ตรงงาม เลขาธิการ มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLaw) กล่าว
“เรามุ่งหมายว่าการ #ฟ้องทะลุฝุ่น คือจุดหมายหนึ่งที่เราอยากขับเคลื่อนให้สิทธิในการมีสิ่งแวดล้อมที่ดี สิทธิในการเข้าถึงอากาศสะอาดเป็นสิทธิของทุกคนไม่ว่าชนชั้นไหน เราจึงมาเรียกร้องให้ศาลตัดสินให้รัฐคุ้มครองประชาชนทุกคนโดยเท่าเทียม” สุภาภรณ์ มาลัยลอย ผู้อำนายกา EnLaw กล่าวเสริม
มาตรฐาน PM 2.5 วันนี้ ไม่คุ้มครองสุขภาพประชาชน : แพทย์ชนบทฯ
“ค่ามาตรฐานของ PM2.5 ในประเทศไทยยังสูงเกินไปและสูงกว่าค่าแนะนำคุณภาพอากาศโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ถึงเกือบ 5 เท่า เป็นมลพิษที่น่ากลัวที่ส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน เพราะก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และออกไซด์ของไนโตรเจนสามารถรวมตัวกันกลายเป็นฝุ่นพิษ PM2.5 ได้
ในทางการแพทย์ แม้โรงงานอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอลซิลอ้างว่าได้ปล่อยมลพิษไม่เกินค่ามาตรฐานของกรมควบคุมมลพิษ แต่ทุกความเข้มข้นที่เพิ่มขึ้นจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคที่เพิ่มขึ้น แม้คุณภาพอากาศไม่เกินมาตรฐานแต่ประชาชนก็มีอาการป่วยซึ่งเกิดมาจากการรับมลพิษต่ำแต่เป็นระยะเวลานานได้ ซึ่งเรียกว่า chronic low dose exposure” นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ประธานชมรมแพทย์ชนบท และผู้ร่วมเป็นโจทก์ กล่าว
“ประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่อง “ชื่อหรืออาการสำคัญของโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2563” ที่ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งกำหนดให้อาการผิดปกติทางสุขภาพจากฝุ่น PM2.5 เป็นโรคจากสิ่งแวดล้อม ยิ่งย้ำเตือนให้ หน่วยงานรัฐด้านสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมต้องยกระดับมาตรฐาน PM2.5 ให้เข้มงวดขึ้น
ในการดำเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมผลกระทบจากโรคสิ่งแวดล้อม ประเทศไทยยังใช้มาตรฐาน PM2.5 ในบรรยากาศทั่วไป และกำหนดเกณฑ์ความเข้มข้น PM2.5 ที่ 91 ไมโครกรัมต่อลูกบากศ์เมตรขึ้นไปว่า “มีผลกระทบต่อสุขภาพ” มาเป็นเวลา 10 ปี กลายเป็นช่องว่างทั้งการเฝ้าระวัง(Surveillance) การแจ้งเตือน(Alert) และการเตือนภัย(Warning) ในช่วงวิกฤตฝุ่น และการป้องกันผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 ในเชิงรุกเพื่อลดอัตราการเจ็บป่วยและ การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของประชากรไทยโดยรวม” เครือข่ายโจทก์ระบุ
“ปัจจุบัน เด็กที่เกิดใหม่ในประเทศไทยต่างถูกบังคับให้ต้องสูดหายใจอากาศที่ปนเปื้อนมลพิษเข้าไป เด็กมากมายอาจไม่ได้รู้จักว่าอากาศที่ ‘สะอาด’ นั้นเป็นอย่างไร เราทุกคนล้วนต้องหายใจเพื่อมีชีวิต ซึ่งการเพิกเฉย และการดำเนินงานที่ล่าช้าของหน่วยงานของรัฐทำให้สิทธิขั้นพื้นฐานอย่างอากาศที่สะอาดถูกริดรอนไป” นันทิชา โอเจริญชัย นักรณรงค์และนักสื่อสารด้านสิ่งแวดล้อม กล่าว
“ทุก ๆ ปี จังหวัดเชียงใหม่ และอีกหลายจังหวัดในภาคเหนือจะต้องเผชิญกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ในระดับวิกฤต พวกเราไม่สามารถทนได้แล้ว ภาครัฐจำเป็นต้องให้ความจริงจังในการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ เพราะประชาชนทุกคนควรมีสิทธิที่จะเข้าถึงอากาศสะอาดอย่างเท่าเทียม” สุรีรัตน์ ตรีมรรคา สภาลมหายใจเชียงใหม่ กล่าว
“ไทยประกาศใช้มาตรฐาน PM2.5 ในบรรยากากาศทั่วไปมาตั้งแต่ปี 2553 ฉะนั้นถึงเวลาที่เราจำเป็นต้องมีการยกระดับมาตรฐานให้เข้มงวดขึ้นได้แล้ว” ธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการ กรีนพีซ ประเทศไทยกล่าว
ชี้ “สองรมว.-บอร์ดสวล.ชาติ” มีหน้าที่โดยตรง
“กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ กระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะหน่วยงานผู้รับผิดชอบหลักตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติ เมื่อปี 2562 [5] มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามแผนนี้เพิ่มเติมจากหน้าที่ตามกฎหมายที่กล่าวมาแล้วข้างต้นด้วย
โดยแผนดังกล่าวได้มีการแบ่งมาตรการออกเป็นมาตรการระยะสั้น (2562-2564) และมาตรการระยะยาว (2565-2567) ซึ่งปี 2564 ที่เป็นปีสุดท้ายของการดำเนินการตามมาตรการระยะสั้นได้ผ่านไปแล้ว และหน่วยงานรัฐต้องเริ่มการดำเนินการตามมาตรการระยะยาวแล้ว แต่ยังมีการดำเนินการของรัฐที่ล่าช้า และไม่เป็นไปตามแผน” เครือข่ายโจทก์ระบุ
“นอกจากการแก้ไขค่ามาตรฐานฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ในบรรยากาศโดยทั่วไปแล้ว การแก้ปัญหา PM2.5 ให้ได้ผล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุตสาหกรรมมีหน้าที่ต้องกำหนดมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดเพราะการป้องกันไม่ให้ปลดปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิดย่อมจัดการง่ายและใช้ต้นทุนที่ต่ำกว่าการจัดการที่ปลายเหตุ และยังช่วยป้องกันผลกระทบต่อประชาชนทุกคนได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด” อัลลิยา เหมือนอบ ผู้ประสานงานรณรงค์เพื่อการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าว
“ตามแนวทางการดำเนินงานระยะสั้น (2562-2564) ภายใต้แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ-การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง PM2.5 รัฐบาลต้องมีการจัดทำทำเนียบการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (Pollutant Release and Transfer Register: PRTR) ตามแผนแล้ว และควรจะมีการนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ดีร่างกฏหมายการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ (PRTR) ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้จัดทำขึ้นและเปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็นตามการชี้แจงของกระทรวงอุตสาหกรรมลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 นั้นไม่มีข้อกำหนดให้มีการเผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณะ โดยเฉพาะรายละเอียดเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดมลพิษ ชนิดและปริมาณสารมลพิษที่เกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นหลักการสำคัญของกฎหมาย PRTR ที่ทั่วโลกใช้บังคับอยู่
นอกจากนี้ในร่างกฎหมายดังกล่าวยังไม่มี “ฝุ่น PM2.5” รวมอยู่ใน “บัญชีสารมลพิษและสารเคมีเป้าหมาย” ที่จะต้องตรวจวัดอีกด้วย คำชี้แจงดังกล่าวจึงคลุมเครือมาก” เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าว