ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคดีวิสามัญฯ ชัยภูมิ ป่าแส “ทหารไม่ต้องชดใช้”

ครอบครัวชัยภูมิเตรียมยื่นฎีกา เรียกร้องความเป็นธรรมให้ลูกชาย ยันจะสู้ให้ถึงที่สุด ทนายห่วงจะส่งผลต่อการตัดสินคดีอื่น ด้านนักสิทธิมนุษยชน “อังคณา นีละไพจิตร” ชี้มีหลายประเด็นไม่ชอบมาพากล

ภาพ: Protection International

ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง

วันนี้ (26 ม.ค. 2565) ศาลอุทธรณ์พิพากษา ยกฟ้อง และให้กองทัพบก ต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ทหารที่วิสามัญฆาตกรรมชัยภูมิ ไม่ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายให้กับครอบครัวของชัยภูมิ โดยให้เหตุผลว่าการวิสามัญฆาตกรรมชัยภูมิ ป่าแส เป็นการกระทำโดยชอบ ทนายยืนยันว่ายังมีหลายประเด็นไม่ชอบมาพากล ครอบครัวเตรียมสู้คดีต่อให้ถึงที่สุด

ชัยภูมิ ป่าแส คือ นักกิจกรรมเยาวชนลาหู่ที่เสียชีวิตด้วยข้อหาค้ายาเสพติดที่ด่านรินหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2560 ซึ่งครอบครัวเชื่อใจว่าเป็นการกระทำโดยมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐจึงได้ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายกองทัพบก ล่าสุดทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกฟ้อง 

ในวันเกิดเหตุ ชัยภูมิ พร้อมเพื่อนคนหนึ่งขับรถยนต์ผ่านด่านตรวจบ้านรินหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ถูกเจ้าหน้าที่ทหารที่ประจำอยู่ที่ด่านตรวจค้นยานพาหนะ เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นรถยนต์ ใช้อาวุธปืนยิงชัยภูมิจนเสียชีวิต โดยระบุว่ากระทำเพื่อป้องกันตนเอง 

ทนายห่วงจะส่งผลต่อการตัดสินคดีอื่น

ด้านทนายจันทร์จิรา จันทร์แผ้ว ได้แสดงความกังวลเรื่องการตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐทั้งตำรวจและทหารว่า

“ในคดีนี้กล้องวงจรปิดที่เป็นหลักฐานที่ไม่ต้องเถียงกันแล้ว และเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือมากที่สุด แต่กลับถูกปกปิด ไม่นำเข้าสู่กระบวนการพิจารณา ในรายงานที่ระบุว่ามีการทำสำเนากล้องวงจรปิดไว้แล้วก่อนที่จะส่งให้กับพนักงานสอบสวน เราเชื่อว่าต้นฉบับมีที่กองทัพแต่ไม่ได้ถูกนำมาเปิดเผย 

เราก็รู้สึกว่าในอนาคตถ้าเกิดคดีความการปฏิบัติหน้าที่ทีผิดพลาดแบบนี้แล้วทำให้ประชาชนเสียชีวิตมันจะมีการดำเนินการอย่างไรบ้าง จะมีมีการดำเนินการในลักษณะเดียวกับครอบครัวของชัยภูมิหรือเปล่า 

ซึ่งก่อนหน้านี้คดีของอะเบ แซ่หมู่ที่โดนเจ้าหน้าที่ทหารยิง ก็มีพบวัตถุระเบิด ซึ่งคดีนั้นศาลก็ไม่เชื่อว่ามีระเบิดและคดีของชัยภูมิมีลักษณะเดียวกัน ดังนั้นเราจึงเป็นห่วงว่า ในคดีถัดไปถ้ามีการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนแบบนี้อีก ลักษณะคดีมันจะมาในรูปแบบเดียวกันหรือเปล่า”

อะเบ แซ่หมู่ ถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่ทหาร เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2560 ณ บริเวณใกล้ด่านตรวจบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ โดยเหตุการณ์เกิดก่อนกรณีของชัยภูมิเพียง 1 เดือน และมีลักษณะคล้ายกันตรงที่เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธปืนยิงจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต โดยอ้างว่าเป็นการป้องกันตัวเพราะผู้ตายมีระเบิด และพบยาเสพติดในครอบครอง 

อย่างไรก็ตามศาลตัดสินให้ ครอบครัวของ อะเบ แซ่หมู่ ชนะคดี และได้รับการชดใช้จากกองทัพบกเป็นเงินทั้งสิ้น 824,180 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันเกิดเหตุ จนกว่าจะชำระครบ

หลายประเด็นไม่ชอบมาพากล

ภาพ: Protection International

อังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  (กสม.) ในฐานะตัวแทนครอบครัวชัยภูมิ ตั้งข้อสงสัยว่า “มีหลายประเด็นที่ไม่อาจจะเห็นด้วยได้เช่นศาลไม่ได้พิจารณาในเรื่องของดีเอ็นเอที่อยู่ในระเบิด เพราะระเบิดที่พบข้างตัวชัยภูมิเป็นระเบิดมือ นำซึ่งนำไปตรวจพิสูจน์แล้วก็ไม่มีดีเอ็นเอของชัยภูมิเลย

ครั้งหนึ่งตนเคยลงพื้นที่ในฐานะกสม. มีชาวบ้านที่ต้องการเป็นพยานในชั้นศาลให้กับชัยภูมิ แต่พอถึงครั้งที่ต้องขึ้นเบิกความก็ไม่สามารถติดต่อชาวบ้านคนดังกล่าวได้ มันมีบรรยากาศของความหวาดกลัว”

นอกจากนี้รัษฎา มนูรัษฎา ทนายความเผยว่า โดยรวม ๆ แล้วเคารพการตัดสินของศาลแต่ก็ยังมีประเด็นเห็นต่างอยู่หลายประเด็น

“ประเด็นสำคัญคือวัตถุพยานจากกล้องวงจรปิด ซึ่งเราได้ให้ข้อมูลกับศาลอุทธรณ์ไปแล้วว่าเจ้าหน้าที่ทหารได้ทำสำเนากล้องไว้แล้ว มีทหารร้อยโทคนหนึ่งยืนยันว่าผู้บัญชาการสั่งให้ทำสำเนาไว้ ดังนั้นถ้าบอกว่าภาพจากกล้องวงจรปิดมันมีการขัดข้องแล้วเปิดดูไม่ได้ จึงเป็นประเด็นที่เราเห็นแย้ง

หลักฐานการทำสำเนามันมีอยู่ เราได้ชี้แจงไปแล้วแต่ศาลอุทธรณ์ก็ยังมีความเห็นว่ายังมีพยานหลักฐานอื่นคือคำเบิกความของพยานโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ทหารสามคน 

ศาลยังหยิบยกประเด็นที่ยิงเข้าตรงต้นแขนซ้ายหมายความว่าเป็นการยิงโดยที่ไม่ได้เจตนาจะประสงค์ต่อชีวิตแต่ความจริงแล้วการตายของชัยภูมิเมื่อกระสุนทะลุแขนซ้ายแล้วก็เข้าทีสีข้างซ้ายจนทำให้ชัยภูมิเสียชีวิต 

นอกจากนี้ยังมีประเด็นพยานโจทก์ที่อยู่ในเหตุการได้ยินเสียงปืนแล้วหันไปมองที่ทหารกดตัวชัยภูมิลงกับพื้น ก็ยังยืนยันในเรื่องของการมีการทำร้าย

ตอนนี้ขึ้นอยู่กับว่าบุคลากรของหน่วยงานที่เป็นกลางมีความละเอียดเพียงพอหรือไม่ที่จะทำบันทึกรายงานกรณีเบื้องต้น” รัษฎากล่าว

ครอบครัวยืนยันสู้ต่อ 

ภาพ: Protection International

นาปอย ป่าแส มารดาของชัยภูมิ กล่าวว่า ตนรู้สึกเสียใจ เสียใจในทุกๆครั้งที่ฟังคำพิพากษา ชัยภูมิเป็นกำลังหลักสำคัญของครอบครัว และเป็นลูกของเรา ลูกที่เรารัก เราจะไม่อยมแพ้ก็ต้องสู้จนถึงที่สุด จะสู่ต่อไปจนถึงชั้นของศาลฎีกา