ทำไมไทยไม่ยอมลงนามปฏิญญา “ป่าไม้-ที่ดิน” กลาสโกว์

เวที COP 26 ชวนประชาคมโลกให้สิทธิชนเผ่าพื้นเมืองจัดการป่า แต่ไทยปฏิเสธ

GreenJust : เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล

ชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่บ้านน้อยพลังงาน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ เสียพื้นที่บ้านและที่ทำกินเนื่องจากโครงการปลูกป่าที่ถูกทิ้งร้าง ภาพเมื่อเมษายน 2563 (ภาพ: แฟ้มภาพสิ่งแวดล้อม)

1.

รัฐบาลไทยเข้าร่วมการประชุมภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 26 (COP26) ที่เมืองกลาสโกว์ สกอตแลนด์ โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อที่ประชุมว่าไทยจะร่วมมือกับนานาชาติแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 

แต่พอนานาชาติประกาศปฏิญญาว่าด้วยการป่าไม้และการใช้ที่ดินของผู้นำกลาสโกว์ (Glasgow Leaders’ Declaration on Forests and Land Use) รัฐบาลไทยกลับไม่ยอมลงนามด้วย และแน่นอนว่าประเทศไทยเป็นประเทศกลุ่มน้อยที่ไม่ยอมลงนาม 

2.

คำถามคือ ทำไมรัฐบาลไทยไม่ยอมลงนามปฏิญญาฉบับนี้ ทั้งๆ ที่ปฏิญญาฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันอนุรักษ์ป่าไม้และระบบนิเวศน์และเร่งการฟื้นฟูป่า ตลอดจนอำนวยความสะดวกด้านนโยบายการค้าและการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในระดับสากลและในประเทศ 

และที่สำคัญคือ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แถลงก่อนเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ ว่าจะเพิ่มพื้นที่ป่าให้ได้ร้อย 55 ของพื้นที่ประเทศไทยใน 15 ปี ซึ่งเนื้อหาดูเหมือนจะสอดรับกันไม่ใช่หรือ

3.

สิ่งที่น่าสนใจในปฏิญญานี้คือ ยอมรับว่าชุมชนในชนบทและชนเผ่าพื้นเมือง มีบทบาทสำคัญในการดูแลพื้นที่ป่าของโลก จึงได้กำหนดเป็นข้อตกลงร่วมกันว่าจะส่งเสริมศักยภาพของชุมชนและวิถีชีวิตในชนบท ด้วยการพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืนและสร้างผลกำไรได้ ตลอดจนยอมรับคุณค่าที่หลากหลายของผืนป่า และตระหนักถึงสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น ที่เป็นไปตามกฎหมายของชาติและกลไกระหว่างประเทศตามที่เหมาะสม

นอกจากนี้ยังยืนยันร่วมกันว่าประเทศสมาชิกมีพันธกรณีทางการเงินระหว่างประเทศ ในการสนับสนุนชนเผ่าพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น ในการพัฒนาประสิทธิภาพและความสามารถในการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน ที่ประชุม COP26 ยังได้วางแผนที่จะทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนกลุ่มชนพื้นเมืองผู้พิทักษ์ผืนป่าและการทำเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนอีกด้วย

คำประกาศของปฏิญญานี้จึงสวนทางกับแนวทางการจัดการป่าไม้ของรัฐบาลไทยหลายประการ 

แนวคิดการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าของโลกพัฒนาไปไกลมากแล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้ในแนวทางของปฏิญญานี้ ซึ่งมีทั้งการอนุรักษ์และเร่งฟื้นฟูป่าไม้ การสนับสนุนนโยบายการค้าและการพัฒนาที่คำนึงถึงความยั่งยืน โดยไม่ผลักดันให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่า การส่งเสริมศักยภาพของชุมชนและวิถีชีวิตในชนบท รวมทั้งกลุ่มเผ่าพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น การสนับสนุนเกษตรกรรมแบบยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมความมั่นคงด้านอาหาร และเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มการสนับสนุนทางการเงินและการลงทุนจากภาครัฐและเอกชน 

ประการแรก ที่ผ่านรัฐบาลไทย โดย นายวราวุธ ศิลปอาชา ในฐานะ รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ประกาศว่าประเทศไทยไม่มีชนเผ่าพื้นเมือง มีแต่กลุ่มชาติพันธุ์ แน่นอนว่าคำพูดของคุณวราวุธ ไม่ใช่ความเห็นส่วนตัว แต่เป็นหลักการที่รัฐไทยยึดถือ 

คือ รัฐไทยไม่ยอมรับว่าประเทศไทยมีชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งคำเรียก “ชนเผ่าพื้นเมือง” มีนัยยะทางการเมือง ที่จะนำไปสู่การสั่นสะเทือนอำนาจของรัฐเหนือทรัพยากรบางอย่าง แต่ยุคสมัยปัจจุบันมันไม่เกี่ยวกับความมั่นคงหรืออำนาจอธิปไตย แต่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่อยู่ในมือของผู้มีอำนาจ

ประการที่สอง ที่ผ่านมามีปฏิบัติการแย่งยึดที่ดินและป่า จากชุมชนในชนบทและกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง มีการจับกุมดำเนินคดีชาวบ้านเหล่านี้ จำนวนมากกว่า 46,600 คดีทั่วประเทศ 

นอกจากนี้ยังมีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติและเขตสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ทับที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินของชาวบ้าน ทั่วประเทศอีก 4,192 หมู่บ้าน 4.2 ล้านไร่ ซึ่งถือเป็นการแย่งยึดที่ดินโดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ

รมว.สิ่งแวดล้อมกับนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมประชุม COP26 (ภาพ: TOP Varawut – ท็อป วราวุธ ศิลปอาชา)

ประการที่สาม พื้นที่เป้าหมายปลูกป่าของรัฐบาลไทย ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนดไว้คือ ที่ดินทำประโยชน์ของคนชนบทและกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงที่ไม่มีเอกสารสิทธิ 

ตามคำแถลงของคุณวราวุธ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2564 (ดูรายละเอียดได้ที่นี้ ) รัฐบาลมีมาตรการการปลูกและฟื้นฟูป่าธรรมชาติ 11  ล้านไร่ โดยพื้นที่เป้าหมายส่วนหนึ่งคือที่ดินทำกินของชาวบ้าน 

โดยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป้าหมายคือ พื้นที่ คทช. ในลุ่มน้ำชั้น 1,2 โดยจะนำที่ดิน คทช.เหล่านั้นมาปลูกป่า 20% ของพื้นที่ โดยให้เจ้าของที่ดินทำกินระหว่างร่อง และห้ามตัดทำลาย รวมทั้งจะเจรจาขอคืนพื้นที่ ซึ่งหมายถึงการยึดที่ดินทำกินอีกร้อยละ 10 – 20 

สำหรับในเขตอุทยานแห่งชาติ เป้าหมายคือ ที่ดินทำกินที่ได้รับการสำรวจและอนุญาตให้ทำกินภายใต้เงื่อนไขที่พระราชกฤษฎีกากำหนด คือ ปลูกไม้ยืนต้นเลียนแบบธรรมชาติ หรือทำตามมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ป่าต้นน้ำ เนื้อที่ 4.2 ล้านไร่ รวมทั้งการเจรจาขอพื้นที่จากคนที่ถือครองโดยไม่เป็นไปตามเขื่อนไข เช่น ครอบครัวที่ถือครองที่ดินเกิน 20 ไร่ ส่วนที่เกินจะถูกยึดคืนไปปลูกป่า 

นี่จึงน่าจะเป็นคำตอบว่าทำไมรัฐบาลไทยไม่ยอมลงนามปฏิญญาว่าด้วยการป่าไม้และการใช้ที่ดินของผู้นำกลาสโกว์

4.

ค่านิยมของการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าของสากลโลกในยุคสมัยใหม่ เขาให้ความสำคัญกับการคุ้มครองและมอบสิทธิในการจัดการและดูแลผืนป่าให้แก่ชนพื้นถิ่น ซึ่งสวนทางกับแนวทางของรัฐบาลไทย ที่ยังมีนโยบายแย่งยึดที่ดินจากคนชนบทและชนเผ่าพื้นเมือง เป็นแนวคิดแบบเผด็จการที่ล้าหลังและไม่เคยประสบความสำเร็จ มีแต่ความล้มเหลวและขัดแย้งรุนแรง  

รัฐบาลเผด็จการ จะทำอะไรก็เอาแต่ผลประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้องเท่านั้น พวกเขาไม่สนใจพัฒนาประเทศ สิ่งแวดล้อมและคุณชีวิตของประชาชนจริงๆ การไปร่วมประชุมกับนานาชาติครั้งนี้ ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการหาเวทีสร้างความนิยมทางการเมืองของรัฐบาลที่นับวันจมดิ่งลงเหวไปทุกที

แล้วรัฐบาลไทยจะร่วมมือกับนานาชาติแก้ไขปัญหาป่าไม้ได้อย่างไร ในเมื่อเรื่องพื้นฐานที่สุดแบบนี้ยังไม่เอาด้วยกับเขาเลย