“ผลักดันเร่งด่วนเป็นพิเศษ-เริ่มสร้างภายในสิ้นปี-คาดใช้เวลา 4 ปีเสร็จ” วีระกรเผยสถานการณ์โครงการล่าสุด ด้วยเหตุผล “กรมชลฯ ได้รับบัญชาจากนายกฯ-บิ๊กป้อม และทุนจีนพร้อมหนุน”
ท่ามกลางเสียงทักท้วง “ผลกระทบมาก-อีไอเอมีปัญหา-ไม่คุ้มการลงทุน-พื้นที่ได้ประโยชน์คลุมเครือ-ไม่ชัดใครจ่ายค่าน้ำที่ผันจากโครงการ”
เข้าบอร์ดสิ่งแวดล้อมวันนี้ ดันสร้างก่อนสิ้นปี?
“อธิบดีกรมชลฯบอกว่า ถ้ากก.วล. เห็นชอบ และมีการทำ TOR ประมูลเสร็จเมื่อไหร่ จะพยายามเริ่มโครงการนี้ให้ได้ภายในปลายปีนี้” วีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ และรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงความคืบหน้าล่าสุดของโครงการผันน้ำยวมสู่เขื่อนภูมิพล
“โครงการนี้เป็นโครงการเร่งด่วน ที่กรมชลประทานให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะนายกและรองนายกประวิตรผลักดัน เนื่องจากเห็นใจเกษตรกร และมีบ.จีนเสนอมาว่าจะทำเสร็จใน 4 ปี”
วีระกรเปิดเผยในเวทีเสวนาออนไลน์ “โปรเจคยักษ์ ผันน้ำยวมสู่เขื่อนภูมิพล ประเทศได้หรือเสีย” ที่จัดขึ้นโดยชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อมและเครือข่ายพันธมิตร เมื่อ 11 ก.ย. 64 ที่ผ่านมา
ตอนนี้ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ (EIA) ได้ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ (คชก.) และกำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) พิจารณา ในวันนี้ (15 กันยายน 2564)
“ตามรายงาน EIA คาดการณ์ว่าจะใช้งบประมาณ 71,000 ล้านบาท ใช้ระยะเวลาเตรียมโครงการและก่อสร้างประมาณ 9 ปี แต่มีบริษัทวิสาหกิจจีนมีความสนใจลงทุน ในขั้นต้นคุยว่าบ.จะออกค่าใช้จ่ายให้ก่อน และได้ผลประโยชน์ตอบแทนในการขายน้ำที่สูบข้ามภูเขา โดยบ.ประเมินต้นทุนเพียง 4 หมื่นล้านบาท และก่อสร้างไม่เกิน 4 ปี อย่างไรก็ตามไม่จำเป็นต้องบริษัทนี้เท่านั้น เป็นหน้าที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ว่าจะประมูลอย่างไร” วีระกรกล่าว
โครงการผันน้ำยวมจริงๆ ถูกริเริ่มขึ้นในปี 2538 เดิมอยู่ในความรับผิดชอบของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ได้มีการทำ EIA เสร็จแล้วหนึ่งครั้งในปี 2549 แต่ถูกพับเก็บไปเพราะข้อจำกัดทางงบประมาณ จนกระทั่งปี 2559 ปัญหาขาดแคลนน้ำในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยายังไม่ถูกแก้ไข กรมชลประทานจึงได้รับงบประมาณมาศึกษาเร่งด่วนอีกครั้ง
โครงการล่าสุด ออกแบบให้มีการผันน้ำโดยให้มีอ่างเก็บน้ำจากแม่น้ำ น้ำจะถูกสูบขึ้นไปบนเขา และถูกพักไว้ในอุโมงค์ สุดท้ายจะถูกปล่อยตามแรงโน้มถ่วงลงเขื่อนภูมิพล โครงการจึงประกอบด้วยการสร้าง เขื่อนน้ำยวม อ่างเก็บน้ำ สถานีสูบน้ำ และอุโมงค์ส่งน้ำความยาว 61 กม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 8 เมตร
การก่อสร้างส่วนใหญ่คือการวางท่อซึ่งต้องผ่านพื้นที่อุทยาน 1 แห่ง และป่าสงวน 6 แห่ง ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะก่อผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม รวมถึงผลกระทบต่อชุมชนชนเผ่าในพื้นที่

จำเป็น vs ไม่จำเป็น?
“ปัญหาหลักคือลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามีน้ำไม่เพียงพอต่อการใช้ เขื่อนภูมิพลมีความจุ 13,500 ล้านลบ.ม. แต่น้ำต้นทุนเราไม่พอเติม แม้กระทั่งกลางฤดูฝนก็มีน้ำเก็บไม่ถึง 40% เพราะฉะนั้นเราเก็บลมกันไปปีละ 7-8,000 ล้านลบ.ม.
7 ปีที่ผ่านมา พี่น้องเกษตรกรในเขตนครสวรรค์และในเขตชลประทานทั้งหมด ไม่สามารถที่จะสูบน้ำมาทำนาปรังได้ ทุกสถานีสูบน้ำที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและริมแม่น้ำปิงกลายเป็นโบราณวัตถุ กลายเป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับแม่น้ำ ไม่มีน้ำให้สูบ เพราะปริมาณน้ำสำหรับไปผลักดันน้ำเค็ม ไปทำประปาให้คนกรุงเทพฯกินมันจะไม่เพียงพอ” วีระกรชี้แจงถึงความจำเป็นโครงการฯ
ขณะที่ ผศ.ดร.สิตางศุ์ พิลัยหล้า อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีความเห็นต่าง ด้วยมองว่ายังมีทางเลือกจัดการนำทางเลือกอื่น ที่ไม่ต้องใช้งบมหาศาลและไม่ต้องสร้างเขื่อน

“นอกจากหาน้ำมาเติม คือจัดการด้านความต้องการน้ำ ตอนนี้ชลประทานทั่วประเทศมีประสิทธิภาพไม่เกิน 60% เท่ากับว่าน้ำในเขื่อน 100 ไปถึงเกษตรเพียง 60 น้ำหายไป 40 หากเราเพิ่มประสิทธิภาพชลประทาน เพียง 10-20 % เราก็สามารถเพิ่มพื้นที่ทำนา ซึ่งสามารถทำได้เลย
เขื่อนภูมิพลออกแบบมาแล้ว แต่มีความจำเป็นอะไรที่จะให้มีน้ำเต็มอ่าง เมื่อมีฝนตกทางเหนือ ทุกจังหวัดทางภาคกลางและกรุงเทพล้วนกลัวน้ำท่วม ฝนไม่ได้ตกเหนือเขื่อน แปลว่าเราไม่ขาดแคลนน้ำ
เรามีน้ำให้เก็บแต่เก็บหรือยัง เราไม่จำเป็นต้องเสียงบประมาณในการสูบน้ำยวม เราอยากทำโครงการนี้เพราะอะไร เพราะกรมชลประทานอยากก่อสร้างใช่หรือไม่” ผศ.ดร.สิตางศุ์กล่าว
ได้ไม่คุ้มเสีย ที่สำคัญ “ใครจะจ่ายค่าน้ำ”
ผศ.ดร.สิตางศุ์กล่าวว่าการผันน้ำข้ามลุ่มสามารถทำได้ เพียงแค่มีมีเงินมีเวลา ตามหลักวิศวกรรมสามารถทำได้ทั้งหมด แต่คำถามคือจำเป็นไหม คุ้มไหม กับผลกระทบที่ต้องแลก เช่น เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ เพราะการผันน้ำข้ามลุ่มเป็นการแพร่พันธุ์สัตว์ต่างถิ่น (alien species)
ส่วนหลักการจัดการน้ำ อาจารย์ยืนยันว่า การแก้ปัญหาของลุ่มน้ำควรจบในลุ่มนั้นๆ ควรแก้ไขปัญหาในลุ่มให้เบ็ดเสร็จ นอกจากนี้ยังมีคำถามจากผู้ชมว่า “ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและสาละวินก็เสี่ยงแล้งเหมือนกัน แต่ละลุ่มน้ำก็มีปัญหาเหมือนกัน ทำไมจึงต้องดึงน้ำจากลุ่มอื่นมาแก้ปัญหา”
วีระกรตอบว่า “พูดเหมือนกับว่าผมะเอาน้ำจากลุ่มน้ำของเขามา เราจะเอาน้ำยวมที่จะไหลลงเมย สูบมาช่วยเจ้าพระยา ซึ่งเป็นน้ำที่ถ้าไม่สูบมาก็ไหลลงเมยลงสาละวินไหลลงทะเล ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพื้นที่ลุ่มน้ำที่ทำการเกษตรเลย”
อีกสิ่งสำคัญที่ต้องแลกใช้จ่ายในการสูบน้ำ ซึ่งใน EIA ยังไม่มีการกำหนดทิศทางให้ชัดเจน ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ โดยตามกฎหมายแล้วไม่สามารถเก็บค่าน้ำจากเกษตรกรได้ จึงเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ว่าใครจะเป็นคนจ่าย
“ตัวเงินเราได้คืนจากการที่น้ำไหลลงเขื่อน เขื่อนภูมิพลก็ปั่นไฟมาขายเราต่อ อยู่ที่รัฐบาลว่าอาจจะช่วยส่วนหนึ่ง หรือให้เกษตรกรจ่ายก็ดี เกษตรกรจะได้คำนึงถึงการใช่น้ำอย่างประหยัด ถ้าเราเก็บค่าน้ำชาวนา สมมติเก็บสักบาท รัฐช่วยอีกบาท ก็ไม่เท่าไหร่หรอก ปีนึงเราช่วยเหลือ มีการประกันรายได้กันหลายหมื่นล้านบาท
แต่ถ้าเรามีน้ำเพียงพอ เช่นนครสวรรค์ตอนที่มีน้ำเพียงพอช่วงก่อนเจ็ดปีที่ผ่านมา เขาเคยได้กันไร่ละหนึ่งตัน ต่างจากนาน้ำฝนประมาณเท่าตัว เราจะไม่ต้องเอาเงินมาใช้ประกันรายได้ ให้เกษตรกรช่วยตนเอง หรือรัฐบาลช่วยบาทนึง มันจะทำให้เกษตรกรร่ำรวยขึ้นได้ถ้าเรามีน้ำอย่างเพียงพอ
ถ้ารัฐจะเก็บค่าน้ำก็ต้องแก้ พรบ. รัฐจ่ายแทนประชาชนไปเลย แต่เราจะไม่มีการประกันรายได้ อันนี้ก็แล้วแต่จะต้องมาคิดกัน แต่ว่าถ้าคิดว่าเราช่วยตรงนี้ดีกว่า แทนที่จะไปประกันรายได้ตอนท้าย ซึ่งในที่สุด CPTPP EU ก็กีดกันไม่ให้เราประกันรายได้อยู่แล้ว” วีระกรชี้แจง
ด้านอ.สิตางศุ์ย้ำว่า เรื่องการเก็บค่าน้ำที่เพิ่มขึ้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่ประชาชนไม่เคยมีส่วนร่วม คนในลุ่มเจ้าพระยาไม่เคยรู้เรื่องนี้ จึงสมควรต้องไปพิจารณาใหม่
หลากคำถาม: อีไอเอ-การมีส่วนร่วม-ผู้ได้ประโยชน์
วีระกรพูดถึงกระบวนการรับฟังความคิดเห็นว่า ต้องมีการรับฟังในระดับนึ่งแล้ว EIA ถึงผ่านมาได้ นี่เป็นหน้าที่กรมชลฯ และยังพูดถึงประเด็นผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมว่า
“โครงการอื่นเนี่ยทำน้ำท่วมป่าเยอะ แต่โครงการนี้แทนที่เราจะปล่อยน้ำ ไหลออก เรากักน้ำไว้ใช้ในประเทศเราไม่ดีกว่าเหรอ มันไม่ได้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเลย 27 ไร่เป็นพื้นที่สร้างโรงสูบ ไม่มีที่ไหนถูกน้ำท่วมเลย มีแต่พื้นที่น้ำแค่สี่เมตร หน้าฝนยังสูงกว่าอีก”

อย่างไรก็ตาม EIA ยังเต็มไปด้วยคำถาม และข้อมูลนี้ก็ไม่สามารถทำให้คนในพื้นที่มั่นใจได้
“ชาวบ้านกังวลเพราะหน้าฝนระดับน้ำสูงกว่านั้นมาก เป็นไปไม่ได้ ว่าน้ำจะไม่สูงกว่านั้น แม่น้ำสายนี้คือชีวิต ดังนั้นข้อมูลนี้เอาอะไรมาวัด ว่าน้ำจะไม่สูงเกินสี่เมตร แล้วเราคนในพื้นที่ดูแลป่า ดูแลต้นน้ำ ต้องเสียสละเหรอ คุณมีตัวอย่างโครงการแบบนี้ของที่อื่นไหมคะ เอามาให้ชาวบ้านดูได้ไหม
กระบวนการ EIA คนในพื้นที่เป็นชาติพันธุ์ ไม่มีล่ามอะไรเลย พูดได้อย่างไรว่าเราได้รับข้อมูลข่าวสารเต็มที่ ชาวบ้านในพื้นที่ต้องมีสวนร่วมตามรัฐธรรมนูญ ท่านเคยได้รับฟังเสียงชาวบ้านหรือเปล่า ที่ผ่านมาคนในพื้นที่พยายามพูดถึงปัญหา ข้อกังวล พี่น้องกะเบอะดินไม่รุ้จักอุโมงค์ที่กำลังจะเจาะใต้พื้นบ้านของเขาเลย ปลายอุงโมงค์พี่น้องก็กำลังหนีผลกระทบจากเขื่อนภูมิพล จะไล่เขาอีกครั้งเหรอ กระบวนการมีส่วนร่วมไม่มีใครฟังเลย ถ้ารับฟังจริง EIA จะไม่ผ่านค่ะ” ตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่กล่าว
ด้านหาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ และตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่แม่น้ำยวม ได้แสดงความกังวลว่า วันนี้ที่กรมชลประทานไม่มาถือว่าไม่มีส่วนร่วมเช่นกัน EIA ผ่านแล้วก็ต้องทำตามที่ระบุไว้ใน EIA จะทำนอกเหนือจากนั้นไม่ได้
“การผันน้ำจากลุ่มน้ำสาละวินมาลงลุ่มน้ำปิง ต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในทั้งสองลุ่ม เรื่องนี้ต้องเข้ากรรมการลุ่มน้ำ แต่ในรายงาน EIA ไม่มีเลย อ่านหลายรอบแล้วก็ยังไม่เห็นเลย จึงเสนอให้ชะลอการนำเรื่องเข้าคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไว้ก่อน เพราะ EIA ไม่มีความชัดเจนหลายประเด็น” หาญณรงค์กล่าว

“ทำโครงการนี้ได้แต่ไม่คุ้มเสีย ไม่จำเป็นต้องทำโครงการเจ็ดหมื่นล้านแล้วต้องใช้เวลาในการเห็นผล กระบวนการมีส่วนร่วมล้มเหลว เกษตรกรไม่รู้เรื่อง ลุ่มเจ้าพระยาไม่รู้เรื่อง EIA บิดเบือน กระบวนการมีส่วนร่วมลากคนไม่เกี่ยวข้องมาอยู่ในเล่ม ไปนั่งกินข้าวที่ร้านลาบ แล้วอ้างว่าเป็นกระบวนการมีส่วนร่วม คนในรูปคงไปฟ้องบริษัทเอง
ดิฉันเห็นใจที่เกษตรกรมีความยากลำบาก และเกษตรกรไม่ควรต้องรออีก 10 ปีถึงจะได้น้ำ เราเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ได้เลย โดยที่ไม่ต้องใช้งบประมาณมากขนาดนั้นนั้น ยังมีอีก 7-8 วิธีที่วันนี้เรายังไม่ได้พูดคุยกัน ทุกวันนี้เรามีงบขนาดนั้นเหรอ กี่โครงการที่ต้องให้จีนมาช่วย คำนึงถึงอธิปไตยบ้างหรือเปล่า เราควรแก้ไขปัญหาลุ่มน้ำตัวเองให้จบในตอนนี้” ผศ.ดร.สิตางศุ์ กล่าว
ตลอด 3 ชั่วโมงงของวงเสวนา ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเข้มข้นระหว่างวิทยากรในหลายประเด็นที่สังคมตั้งคำถาม ไม่ว่าจะเป็นความจำเป็นของโครงการ ความโปร่งใสกระบวนการรับฟังความเห็น หรือความเกี่ยวข้องของนักการเมืองและทุนจีน
หลายคนตั้งคำถามว่า ทำไมผู้แทนกรมชลประธานถึงไม่สามารถเข้าร่วมเวทีได้ตามกำหนดการ ซึ่งทางผู้จัดงานชี้แจงว่า ได้มีการตกลงนัดหมายกับ สุรชาติ มาลาศรี ผู้อำนวยการสำนักบริหารโครงการ กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่าจะมาร่วมแลกเปลี่ยนในฐานะวิทยากรของงาน แต่ที่สุดก็ได้รับแจ้งว่าติดภารกิจด่วนต้องเดินทาง จึงน่าเสียดายที่กรมชลประทานไม่สามารถมาร่วมชี้แจงแลกเปลี่ยนได้