มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) แถลงออนไลน์ผลสำรวจล่าสุด เผยพบ 11 จุดในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลที่เสี่ยงเกิดระเบิดสารเคมีในระดับที่เกิดกับกรณี “หมิงตี้” ยื่น 5 ข้อเรียกร้องหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยเฉพาะกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อดำเนินการด่วน เดินหน้ารวบรวม 10,000 รายชื่อผลักดันทางออกระยะยาว “กฎหมายโปร่งใสข้อมูลการใช้สารเคมี PRTR”
เมื่อวานนี้ (29 ก.ค. 64) เวลา 11.00 น. มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) แถลงการณ์ออนไลน์ทาง Facebook รายงานผลสำรวจโรงงานที่มีลักษณะคล้ายโรงงานหมิงตี้ ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และสถิติการระเบิดของโรงงานในลักษณะนี้ โดยชี้ว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลเพราะอาจสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนจำนวนมาก กรมโรงงานอุตสาหกรรม หน่วยงานที่มีความรับผิดชอบโดยตรง ควรกำกับดูแลเมตรการความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
หมิงตี้โมเดล ลูกระเบิดรอบกรุง
“หมิงตี้โมเดล” หรือ โรงงานที่มีรูปแบบความเสี่ยงคล้ายกับหมิงตี้ หมายถึงโรงงานประเภทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตพลาสติก มีกำลังการผลิตใกล้เคียงกับหมิงตี้ และมีที่ตั้งอยู่ใกล้ชุมชน ซึ่งผลสำรวจออกมาว่า มีอยู่ถึง 11 แห่งรอบกรุง กระจายอยู่ในพื้นที่ เขตหนองแขม เขตมีนบุรี เขตบางเขน กรุงเทพฯ อำเภอบางพลี อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี และอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร
โรงงาน 11 แห่งที่ตรงกับ “หมิงตี้โมเดล” มาจากการสำรวจโรงงานที่มีกำลังการผลิต 10,000 แรงม้าขึ้นไป (เทียบกับหมิงตี้ที่ มีกำลังเครื่องจักร 11,489 แรงม้า) ต้องใช้สารเคมีอันตรายและสารไวไฟประเภทคล้ายกันและมีปริมาณใกล้เคียงโรงงานหมิงตี้ ได้แก่ โรงงานลำดับที่ 44 ประเภทโรงงานผลิตเรซิน ยาง พลาสติก ใยสังเคราะห์ และโรงงานลำดับที่ 53 (5) และอีกหลายประเภทย่อย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำพลาสติกและการนำพลาสติดมารีไซเคิล โดยทั้งหมดได้รับใบอนุญาตไม่เกินปี 2563 เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นโรงงานที่เริ่มกิจการแล้ว
มากไปกว่านั้น มูลนิธิยังนำเสนอ สถิติการเกิดเพลิงไหม้โรงงานพลาสติกและโรงงานรีไซเคิล ย้อนหลัง 4 ปี พบว่า มีอุบัติภัยเช่นนี้เกิดขึ้นถึง 62 ครั้ง มีหลายกรณีที่ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน และก่อให้เกิดมลภาวะในลักษณะสารโลหะหนักและสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน
“อุบัติภัยในลักษณะนี้เกิดขึ้นได้เพราะความบกพร่องของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีหน้าที่ต้องกำกับดูแลมาตรการความปลอดภัยของโรงงานอุตสาหกรรมไม่ให้สร้างผลกระทบต่อชุมชนรอบข้าง เป็นไปได้อย่างไรที่ในระยะเวลาเพียง 4 ปีกว่าๆ มีเหตุเพลิงไหม้ในโรงงานที่ใช้สารเคมีอันตรายบ่อยขนาดนี้
กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้มีการควบคุมการจัดตั้งโรงงานให้ตรงตามกฎหมายผังเมืองหรือไม่ มีการบังคับจัดทำแนวกันชนในพื้นที่โรงงานบ้างหรือไม่ ซึ่งจากกรณีหมิงตี้ก็เห็นได้ชัดเจนว่ากรมโรงงานอุตสาหกรรมไม่ได้มีการบังคับจัดตั้งแนวกันชนเลย หนำซ้ำยังอนุญาตให้มีการขยายเครื่องจักรและกำลังการผลิตอีกด้วย” เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศกล่าว
5 ข้อเรียกร้อง ถึง 3 หน่วยงานหลักภาครัฐ
รายงานสำรวจโรงงานหมิงตี้โมเดล และสถิติการเกิดเหตุเพลิงไหม้ แสดงให้เห็นถึงอันตรายและความเป็นไปได้ที่จะเกิดอุบัติภัยรุนแรงคล้ายเหตุการณ์ #ไฟไหม้โรงงานกิ่งแก้ว อีก หากไม่มีมาตรการความปลอดภัยและการกำกับดูแลที่เข้มงวดพอ เพื่อเป็นการป้องกันและจัดการความเสี่ยง มูลนิธิบูรณะนิเวศ จึงยื่นข้อเรียกร้องถึงหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ให้รีบจัดการโดยด่วน ดังนี้
- หน่วยงานภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงแรงงาน ต้องเร่งตรวจสอบระบบและมาตรการความปลอดภัย รวมถึงการประเมิณความเสี่ยงตามหน้าที่ๆ แต่ละหน่วยงานมีอยู่ตามที กฎหมายกำหนด ( พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 และ พ.ร.บ. ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 ฯลฯ) สำหรับโรงงานที่ดำเนินการอยู่ โดยเฉพาะที่ตั้งอยู่ในเขตชุมชน
- กรมโรงงานอุตสาหกรรมจะต้องควบคุมและจำกัดการขยายกิจการรวมถึงกำลังการผลิตของสถานประกอบการที่ตั้งอยู่ใกล้แหล่งที่อยู่อาศัยและชุมชน
- ดำเนินการตรวจสอบใบอนุญาตประกอบกิจการ (รง. 4) และการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตของโรงงานอย่างสม่ำเสมอและเคร่งครัด
- ดำเนินการตรวจสอบผังและสีการใช้ประโยชน์ที่ดินในแต่ละพื้นที่ตามพระราชบัญญัติผังเมือง หากโรงงานใดตั้งอยู่ในละแวกชุมชน จะต้องควบคุมให้มีการจัดทำ แนวกันชน (buffer zone) ภายในพื้นที่โรงงาน
- พิจารณาการย้ายสถานที่ตั้งโรงงานโดยรัฐบาลต้องมีมาตรการรองรับที่ดี
- สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) จะต้องดำเนินการตรวจสอบกรณีการขยายกำลังผลิตโรงงานของบริษัทหมิงตี้ เคมีคอล จำกัด
- กรมโรงงานอุตสาหกรรมจะต้องเปิดเผยข้อมูลโรงงานอุตสาหกรรมให้สาธารณชนเข้าถึงได้โดยสะดวกทางออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการสอดส่องป้องกันภัย และปกป้องชีวิตและสุขภาพของตน
- ข้อมูลที่ควรเผยแพร่: ชื่อสถานประกอบการ สถานที่ตั้ง ใบทะเบียนประกอบกิจการโรงงาน ผลิตภัณฑ์ ขนาดเครื่องจักร มลพิษและสารอันตรายที่เกี่ยวข้อง ระบบจัดการสิ่งแวดล้อมและการประเมิณความเสี่ยง
- ดำเนินการตรวจสอบกระบวนการการจัดการ และเปิดเผยปริมาณกากอันตรายทั้งหมดหลังไฟไหม้ โรงงานหมิงตี้ ซึ่งมีปริมาณมหาศาลและเกินกำลังความสามารถในการกำจัดของโรงงานเพียงแห่งเดียว
รวบรวม 10,000 ลายเซ็น ดัน “กฎหมาย PRTR”
หากประเทศไทยมีนโยบายจะเติบโตในด้านอุตสาหกรรม เพ็ญโฉมให้ความเห็นว่าควรมีกลไกที่มีประสิทธิภาพมารองรับ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุสลดใจแบบกรณีหมิงตี้อีก ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องมีกฎหมาย PRTR
กฎหมาย PRTR (Pollutant Release and Transfer Register) คือ ระบบที่กำหนดให้ทุกโรงงานจะต้องเปิดเผยข้อมูลการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญที่ส่งผลต่อสวัสดิภาพและความเสี่ยงในชีวิตของตนได้โดยง่าย ปัจจุบันถูกใช้ใน 50 ประเทศทั่วโลกเพื่อแก้ปัญหามลพิษและจัดการสารอันตรายให้ปลอดภัยต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
มูลนิธิบูรณะนิเวศ ได้มีการนำเสนอตัวอย่างระบบ PRTR ของสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป โดยมีการทดลองเข้าถึงข้อมูลผ่านเว็บไซต์ให้ดูเป็นตัวอย่าง และมีการเปรียบเทียบข้อมูลที่ถูกเปิดเผยให้เข้าถึงได้โดยสาธารณะ
สุดท้าย มูลนิธิ ประกาศเดินหน้าผลักดันกฎหมายนี้ต่อ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีการร่วมมือกับมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLaw) ยกร่างกฎหมาย PRTR เข้าสู่สภาผ่านทางพรรคก้าวไกล ทว่าถูกนายกรัฐมนตรีสั่ง “ไม่รับรอง” ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวโดยไม่แจ้งเหตุผล ในช่วงก่อนเกิดอุบัติภัยและเหตุสลดที่โรงงานของบริษัทหมิงตี้ฯ เพียง 2 สัปดาห์
ครั้งนี้ มูลนิธิเผยว่าจะเป็นการเสนอร่างพ.ร.บ. ผ่านการเข้าชื่อโดยผู้มิสิทธิ์เลือกตั้งอย่างน้อย 10,000 คน และตอนนี้ กำลังดำเนินการอยู่ในขั้นหารือเกี่ยวกับระบบการรวบรวมรายชื่อ จะมีการเผยแพร่ช่องทางการลงชื่อให้ทราบโดยเร็วนี้