องค์กรอนุรักษ์กรีนพีซประเทศไทยเปิดแคมเปญใหม่ วัดใจคนไทยร่วมโหวตสนับสนุนข้อเสนอให้รัฐบาลดำเนินการติดตั้งโซลาร์รูปท็อปบนหลังคาอาคารสำนักงานหน่วยงานรัฐ รวมถึงทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา “สัปปายะสภาสถาน” เพื่อยืนยันนโยบายสนับสนุนพลังงานสะอาด โดยใช้งบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด
เป้า 2,471 เมกะวัตต์ ใน 3 ปี
“หลังคาตรงนั้นว่างอยู่ใช่ไหม ถ้าขอให้ติดโซลาร์รูฟท็อปจะได้หรือเปล่า?” ข้อความเรียกร้องให้คนไทยร่วมโหวตผ่านช่องทางออนไลน์ภายใต้แคมเปญระบุ
“มาร่วมโหวตกันว่าหลังคาของสถานที่ใดที่ภาครัฐควรติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป เพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าจากเงินภาษีประชาชน ลดมลพิษทางอากาศและก๊าซเรือนกระจก และสร้างสรรค์ระบบพลังงานหมุนเวียนแบบกระจายศูนย์ และฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากด้วยโซลาร์รูฟท็อป 1 ล้านหลังคาเรือน” กรีนพีซฯ อธิบาย
กรีนพีซกล่าวว่า แคมเปญนี้ตั้งเป้าให้เกิดการร่วมผลักดันของสาธารณะเพื่อให้รัฐบาลนำงบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 เพื่อลงทุนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปให้ 1 ล้านครัวเรือน โรงพยาบาล 8,170 แห่ง และโรงเรียน 31,021 แห่งทั่วประเทศ ภายในเวลา 3 ปี (พ.ศ.2564-2566) ด้วยมาตรการ Net Metering
“การลงทุนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปดังกล่าวจะทำให้มีกำลังผลิตติดตั้งในระบบไฟฟ้า 2,471 เมกะวัตต์ ประหยัดค่าใช้จ่ายของครัวเรือน โรงพยาบาล และโรงเรียน 17,139 ล้านบาทต่อปี เกิดการจ้างงานมากกว่า 50,000 ตำแหน่ง และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1.48 ล้านตันต่อปีและออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ซึ่งเป็นคู่หูตัวร้ายของ PM2.5 ได้ 804 ตันต่อปี
Net Metering เป็นระบบหักลบกลบหน่วยโดยไฟฟ้าที่ผลิตใช้เองจากโซลาร์รูฟท็อปสามารถนำมาตอบสนองการใช้อุปกรณ์ที่ใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน (โหลดไฟฟ้า) ได้ทันที ไฟฟ้าที่ผลิตได้ส่วนเกินเก็บเป็นเครดิตนำมาใช้หักลบกลบหน่วยได้ในรอบบิลถัดไปและมีมูลค่าเท่ากับราคาขายปลีก
มาตรการรับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อประดับครัวเรือน (Net Metering) จะนำไปสู่ ประชาธิปไตยทางพลังงาน (energy democracy) ยกระดับเศรษฐกิจครัวเรือนและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม” กรีนพีซฯ อธิบาย
ชี้เป็นเทรนด์โลก ทำได้จริงและไม่แพง ด้วย Net Metering
“นับถึงสิ้นปี 2561 ทั่วทั้งโลกมีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์แล้วจำนวน 500,000 เมกะวัตต์ โดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึงร้อยละ 24 แต่หากคิดสัดส่วนพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากโซลาร์เซลล์เมื่อเทียบกับพลังงานไฟฟ้าที่ชาวโลกบริโภคในปี 2561 พบว่ามีเพียงร้อยละ 2.6 เท่านั้น โดย 3 ประเทศที่มีสัดส่วนสูงสุดคือ ฮอนดูรัส (ร้อยละ 14.0) เยอรมนี (ร้อยละ 7.9) และกรีซ (ร้อยละ 7.5) ในขณะที่ประเทศไทยมีสัดส่วนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกคือร้อยละ 2.3 เท่านั้น” กรีนพีซกล่าวถึงสถานการณ์และแนวโน้มการดำเนินการใช้พลังงานสะอาดอย่างโซลาร์เซลในระดับโลก
“ที่น่าเสียดายยิ่งกว่านั้นก็คือเกินกว่าร้อยละ 90 ของการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยเป็นแบบโซลาร์ฟาร์มขนาดใหญ่ แทนที่จะเป็นหลังคาบ้านสำหรับที่อยู่อาศัย ทั้งๆ ที่ในปัจจุบัน ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ผู้บริโภคสามารถผลิตไฟฟ้าจากหลังคาบ้านตนเองได้แล้ว สามารถลดจำนวนเงินที่เคยไหลออกอย่างเดียวให้ลดลงได้ หรือถ้าดีกว่านี้อีกก็สามารถทำให้เงินไหลเข้ากระเป๋าตนเองได้ด้วย จนมีการกล่าวกันว่า ผู้บริโภค หรือ consumer ได้กลายเป็น “prosumer” แล้ว” มุมมองต่อสถานการณ์ในประเทศไทยของกรีนพีซ
กรีนพีซได้ร่วมกับกองทุนแสงอาทิตย์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มูลนิธินโยบายสุขภาวะ ดำเนินการศึกษาในเรื่องนี้ และจัดทำเป็นรายงานเผยแพร่เมื่อ 23 ก.ค. 2563 ที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อหัวข้อ “ปฎิวัติพลังงานบนหลังคา ข้อเสนอเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากที่ยั่งยืนและเป็นธรรมผ่านระบบโซลาร์รูฟท็อปในประเทศไทย (พ.ศ.2564-2566)” อ่านรายงาน
“นโยบายการสนับสนุนการติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ง่ายที่สุด ลงทุนน้อยที่สุด ไม่ต้องซื้อมิเตอร์เพิ่มเติม ไม่ต้องติดอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าไหลย้อน และไม่ต้องซื้อแบตเตอรี่ ก็คือ นโยบาย “net – metering” คือการอนุญาตให้กระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโซลาร์เซลล์ (ในตอนกลางวันซึ่งเจ้าของบ้านส่วนใหญ่ไม่อยู่บ้าน) สามารถไหลเข้าสู่สายส่งได้ก่อน และในเวลากลางคืน (เจ้าของบ้านกลับมา) ไฟฟ้าจากสายส่งก็ไหลกลับเข้าบ้าน เมื่อครบเดือนก็คิดการใช้สุทธิ (net) ตามที่ปรากฏในมิเตอร์
ปัจจุบัน หลายประเทศได้นำนโยบาย net-metering ไปใช้อย่างกว้างขวางทั้งในประเทศร่ำรวยและประเทศยากจน เช่น สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา แคนาดา อินเดีย ปากีสถาน และ เคนยา เป็นต้น แต่ประเทศไทยเรายังไม่นโยบายนี้เลย นอกจากนี้ แม้ว่ารัฐบาลไทยจะมีการส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในบ้านเรือนมากกว่า 10 ปี แต่ก็มีปัญหาอุปสรรคหลายประการในการติดตั้ง จนทำให้ระบบโซลาร์เซลล์บนหลังคา หรือ โซลาร์รูฟท็อป ในประเทศไทยมีความคืบหน้าช้ามาก ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว
รายงานฉบับนี้ จึงเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการนำระบบ net-metering มาใช้ในประเทศไทย โดยตั้งเป้าหมายที่จะมีระบบโซลาร์รูฟท็อป 3,000 เมกะวัตต์ ภายในระยะเวลา 3 ปี จากนั้นจะวิเคราะห์ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว รวมถึงแนวทางในการรับมือกับความห่วงกังวลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนำระบบโซลาร์รูฟท็อปมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของความมั่นคงในระบบไฟฟ้า ผลกระทบต่อค่าไฟฟ้า และการจัดการกับแผงโซลาร์เซลล์ที่หมดอายุการใช้งาน” กรีนพีซกล่าวถึงเนื้อหารายงานฉบับดังกล่าว
หมายเหตุ
พบกับสัมภาษณ์พิเศษ :
GreenLive: จริงจังแค่ไหน เคมเปญ “รัฐสภาโซลาร์รูฟท็อป”
ธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการ กรีนพีซ ประเทศไทย
18 พ.ค. 2564 / 17.30 น
ที่เพจ GreenNews