บ้านม่วงชุม จ.เชียงราย พลิกฟื้นผืนป่าให้ชุมชนมีน้ำและอาหาร ต้านวิกฤต COVID-19

แม้ท่ามกลางสถานการณ์ภัยแล้ง และปัญหาอาหารขาดตลาด – ขาดแคลน จากผลกระทบการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ชุมชนบ้านม่วงชุม จ.เชียงราย หนึ่งในต้นแบบชุมชนสู้ภัยแล้งในโครงการ “เอสซีจีร้อยใจ 108 ชุมชนรอดภัยแล้ง” ยังมีข้าวปลาและน้ำอุดม และมีวิถีความเป็นอยู่ที่มั่นคง ด้วยการพัฒนาวิถีเกษตรกรรม การจัดการน้ำ และรักษาป่าตามแนวพระราชดำริ ในหลวงรัชกาลที่ 9

จากชุมชนป่าต้นน้ำติดกับแม่น้ำอิงที่ชาวบ้านมีวิถีชีวิตพึ่งพิงธรรมชาติ หมู่บ้านม่วงชุม ต.ครึ่ง อ.เชียงของ จ.เชียงราย ได้กลายเป็นพื้นที่แห้งแล้งเพราะการตัดไม้ทำลายป่าและเผาถ่านทำไร่เลื่อนลอย ประกอบกับความแปรปรวนของภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้พื้นที่แห่งนี้เกิดปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งซ้ำกลับไปกลับมาตลอด 50 ปีที่ผ่านมา จนชุมชนได้ศึกษา “แนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9”

เยาวชน
เยาวชนในชุมชนบ้านม่วงกำลังเรียนรู้วิธีการใช้แผนที่จัดการน้ำ ขอบคุณภาพจาก: เอสซีจี

ปัญญา เป้าพรหมมา กำนัน ต.ครึ่ง อ.เชียงของ จ.เชียงราย เล่าว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านมีวิถีชีวิตที่พึ่งพาธรรมชาติอย่างเดียว แต่ไม่เคยเหลียวแลและรักษาทรัพยากรป่าต้นน้ำซึ่งมีความสัมพันธ์กับแม่น้ำอิง ทำให้ชุมชนต้องเผชิญเหตุการณ์น้ำท่วมในหน้าฝนและน้ำแห้งในหน้าแล้งเรื่อยมากว่า 50 ปี จนต้องถอยร่นหมู่บ้านไปตั้งรกรากในที่สูงเพื่อหนีน้ำท่วม กระทั่งได้พบคำตอบจาก “แนวพระราชดำริ” ที่หัวใจคือการจัดสรรและการใช้ทรัพยากรเพื่อให้เกิดความยั่งยืน ควบคู่กับการวางระบบบริหารจัดการน้ำครบวงจร ที่มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้เปิดประตูความรู้ให้

นับจากนั้น ชุมชนจึงเริ่มน้อมนำความรู้จากแนวพระราชดำริไปปฏิบัติจริงในพื้นที่ โดยเริ่มจากร่วมใจกันฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าไม้ ด้วยการปลูกกล้าไม้และช่วยกันดูแลผืนป่ากว่า 3,700 ไร่ รวมถึงเพิ่มพื้นที่ป่า และรักษาหน้าดิน ขณะเดียวกันก็ปกป้องผืนป่าด้วยการทำแนวกันไฟ และการหาแหล่งน้ำสำรองไว้ใช้ยามหน้าแล้ง และสร้างฝายชะลอน้ำ เพื่อช่วยลดผลกระทบจากน้ำท่วมในยามน้ำหลาก และช่วยคืนความชุ่มชื้นให้ผืนดิน อีกทั้งยังเป็นการเติมน้ำให้อ่างเก็บน้ำม่วงชุมด้วย นอกจากนี้ ชุมชนยังขุดบ่อดักตะกอนเหนืออ่างเก็บน้ำไม่ให้ตะกอนไหลลงอ่าง รวมทั้งขุดลอกตะกอนในอ่างออก ทำให้มีพื้นที่กักเก็บน้ำเพิ่มมากขึ้น

เมื่อบริหารจัดการอ่างเก็บน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงสามารถจัดทำระบบกระจายน้ำให้ทั่วถึงและเป็นธรรม ทำให้ชาวบ้านมีสิทธิ์เข้าถึงการใช้น้ำ เป็นการรวมพลังคนในชุมชนจัดการน้ำด้วยการลงทุนที่ต่ำที่สุด แต่ผลลัพธ์ยั่งยืน

“ตอนที่ยังไม่มีการบริหารจัดการน้ำและทรัพยากร สภาพพื้นที่กักเก็บน้ำตื้นเขินแห้ง เคยคิดจะสูบน้ำอิงมาใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค แต่การสูบน้ำจากที่ต่ำมายังที่สูงเป็นต้นทุนทางการเกษตรที่ค่อนข้างสูง” กำนันปัญญา หนึ่งในผู้นำที่สานต่อปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการบริหารจัดการน้ำและสร้างการมีส่วนร่วม กล่าว

กำนันปัญญา ยังเป็นผู้นำในการผลักดันให้ชุมชนปรับเปลี่ยนวิถีการทำเกษตร จากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวมาเป็น “เกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่” ซึ่งเป็นการเพาะปลูกพืชแบบผสมผสาน ไม่ใช้สารเคมี ช่วยสร้างรายได้จากหลากหลายช่องทาง ทำให้ชุมชนมีรายได้กว่า 4.4 ล้านบาท และลดรายจ่ายได้ถึง 2.7 ล้านบาทต่อปี

กำนันปัญญา
กำนันปัญญา เป้าพรหมมา //ขอบคุณภาพจาก: เอสซีจี

เขากล่าวว่า เดิมบ้านม่วงชุมทำเกษตรตามฤดูกาลเป็นอาชีพหลัก ปลูกพืชเชิงเดี่ยว ข้าว มัน ทำสวนผลไม้ เลี้ยงสัตว์ แต่ได้ผลผลิตไม่คงที่ รายได้ไม่พอกับรายจ่าย บางคนต้องกู้เงิน ขายที่ดิน ย้ายไปทำงานต่างถิ่น แต่เมื่อรวมกลุ่มกันทำเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่ จัดสรรแปลงเกษตรอย่างเป็นรูปแบบ ใช้พื้นที่เพาะปลูกให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทำปฏิทินการผลิต บัญชีรายรับรายจ่ายผลผลิต โดยเน้นบริโภคเอง แบ่งปันเพื่อนบ้าน และขายบ้าง ทำให้มีพืชผักการเกษตรบริโภคได้ทั้งปี มีรายได้มากกว่าเดิมถึง 2 เท่าต่อปี ทำให้หนี้สินลดลง มีความเป็นอยู่ดีขึ้น การย้ายถิ่นฐานก็ลดลง มีความสุขมากขึ้น

ด้วยความร่วมมือร่วมแรงของสมาชิกชุมชน ที่ได้ช่วยกันพลิกฟื้นผืนป่าต้นน้ำด้วยการบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9  ทำให้ชุมชนมีอาหารอุดมสมบูรณ์ และเป็นหนึ่งในขุมพลังหนุนกองทัพผลิตอาหารให้คนไทย อีกทั้งยังสอนให้ชุมชนรู้จักการรวมกลุ่ม รวบรวมข้อมูล ทำความเข้าใจปัญหาของชุมชน เพื่อนำมาวางแผน พร้อมประยุกต์ใช้เทคโนโลยีแก้ปัญหา เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับบริบทชุมชน นำไปสู่การค้นพบทางรอดเมื่อเจอภัยต่างๆ

“ชุมชนที่มีปัญหาคล้ายกัน อยากให้คิดถึงแนวพระราชดำริของพระองค์ท่าน และต้องทำด้วยมือของเราด้วย จึงจะเกิดความเปลี่ยนแปลงและสำเร็จได้จริง ชุมชนบ้านม่วงชุมใช้เวลาเพียงปีเดียวก็เกิดผลเพราะคนในชุมชนร่วมมือกัน” กำนันปัญญา กล่าวทิ้งท้าย

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง