วิกฤตหมอกควันข้ามพรมแดนภาคเหนือยกระดับเตือนสูงสุด ผู้เชี่ยวชาญเผยลมส่งควันเผาจากพม่าและลาว รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษแจง จับมือเพื่อนบ้านรับมือไฟป่า ปีนี้ชี้ผลความพยายามสู่อาเซียนปลอดหมอกควัน
ค่าฝุ่น PM2.5 ภาคเหนือสูงเกินมาตราฐานติดต่อหลายวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน โดยเช้าวันนี้ (12 มีนาคม 2563) เวลาสิบโมง สถานีตรวจวัดโรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ พบค่าคุณภาพอากาศอยู่ในระดับสูงถึง 223 AQI นับอยู่ในเกณฑ์อันตรายมากและมีค่าสูงที่สุดในโลก
วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2563 ศูนย์อุตุนิยมวิทยาอาเซียน (ASMC) ซึ่งมีหน้าที่ติดตามสภาพภูมิอากาศและสภาวะหมอกควันในภูมิภาค ได้ยกระดับการเตือนหมอกควันข้ามพรมแดนในบริเวณอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงขึ้นเป็นระดับสามซึ่งเป็นระดับสูงสุด เนื่องจากมีจุดฮอตสปอตจำนวนมากต่อเนื่องมากกว่าสองวันติดต่อกัน อากาศแห้งติดต่อ และมีลมที่พัดหมอกควันจากแหล่งกำเนิดสู่ประเทศเพื่อนบ้าน

เพจฝ่าฝุ่น เผยสาเหตุของปัญหาฝุ่นควันช่วงนี้ว่า เหตุผลแรกคือสภาพภูมิอากาศ กำลังลมในพื้นที่อ่อน เป็นผลให้ฝุ่นที่เกิดจากการเผาในที่โล่งไม่สามารถระบายได้ นอกจากนั้นยังเกิดปรากฏการณ์การผกผันของอุณหภูมิ (Temerature Inversion) กั้นการลอยตัวของอากาศระดับพื้นทำให้ฝุ่นไม่ระบายตอนช่วงกลางคืนจนถึงเช้า
นอกจากนั้นยังเป็นผลจากแหล่งกำเนิด ได้แก่ ไฟป่าและการเผาเชิงเกษตร ทั้งในพื้นที่ภาคเหนือไทยและประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าและลาว
สอดคล้องกับข้อสังเกตของ ดร.สุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา ผู้เชี่ยวชาญด้านมลพิษทางอากาศ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ในงานเสวนา “ภาคธุรกิจไทยกับการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหา PM2.5” เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ที่ผ่านมา ณ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด เขากล่าวว่าปีนี้ภาคเหนือเริ่มเผชิญสถานการณ์ฝุ่นเร็ว ตั้งแต่เดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ต่างจากปีที่แล้ว คาดว่าเป็นสาเหตุจากมาตราการห้ามเผา 60 วัน ที่เริ่มใช้ตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ เป็นเหตุให้มีผู้ชิงเผาพื้นที่ทำเกษตรล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม เดือนมีนาคมนี้เป็นเดือนที่สถานการณ์หมอกควันร้ายแรงมากที่สุด เช่นเดียวกับสถิติปีก่อน เนื่องจากหมอกควันข้ามพรมแดน
“ ปีนี้มาเร็วและมาเยอะ โดยเฉพาะแนวชายแดนจังหวัดเชียงรายและแม่ฮ่องสอน แสดงว่ามีมาจากเพื่อนบ้านโดยเฉพาะประเทศพม่าและลาว การแก้ไขปัญหาภาคเหนือทำแค่ในประเทศอย่างเดียวคงไม่สำเร็จ”
ภายในงานเสวนาเดียวกัน เถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวถึงความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียนเพื่อจัดการปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดนว่า ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมลงชื่อในความตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน (ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution) เมื่อปี พ.ศ.2555 ซึ่งเริ่มต้นจากปัญหาหมอกควันจากการเผาไร่ในอินโดนีเซียที่ส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้านช่วงฤดูมรสุม จากการร่วมมือดังกล่าว เมื่อเกิดวิกฤตหมอกควันขึ้นเช่นในภาคเหนือปัจจุบัน ประเทศไทยจึงส่งจดหมายแจ้งเตือนกับทางการพม่า รวมถึงพูดคุยหาทางร่วมมือกันในระดับท้องถิ่น
“ตอนนี้แต่ละประเทศต้องดูแลพื้นที่ตัวเองให้ดีที่สุดก่อนจะได้ไม่รบกวนประเทศข้างเคียง ภาคเหนือเราฮอตสปอตเยอะ แต่พยายามคุมไม่ให้ไปรบกวนประเทศอื่น นอกจากนั้นประเทศไทยนับว่าเป็นผู้นำและผู้สนับสนุนในการแก้ไขปัญหา เราส่งอุปกรณ์ดับไฟไปสนับสนุนพม่าและให้ความรู้เรื่องไฟป่าหน่วยงานและประชาชนลาว”
ปีพ.ศ. 2563 นี้นับว่าเป็นปีเป้าหมายของอาเซียนที่จะสร้าง “อาเซียนปลอดหมอกควัน” (Haze-free ASEAN 2020) ตามโร้ดแมพปีพ.ศ. 2559-2563 โดยมีตัวชี้วัดความสำเร็จ 3 ประการ ได้แก่
- เพิ่มจำนวนวันที่มีคุณภาพอากาศดีหรือค่า AQI ฝุ่น PM.10 และ PM2.5 อยู่ในระดับไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ (moderate)
- ลดจำนวนจุดความร้อนให้ต่ำกว่าการแจ้งเตือนระดับ 2 ตามมาตราฐานการปฏิบัติงานหมอกควันอาเซียน
- ลดพื้นที่ได้รับผลกระทบจากหมอกควันข้ามพรมแดน
อย่างไรก็ตามข้อตกลงดังกล่าวเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากนักเคลื่อนไหวสิ่งแวดล้อมว่าคลุมเครือ แดเนียล เฮย์วาร์ด ผู้ประสานงานโครงการวิจัยด้านพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง ศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้สัมภาษณ์กับกรีนพีซ ประเทศไทยว่าประเทศต่างๆ ยังคงออกนโยบายสนับสนุนการลงทุนภาคเกษตรกรรมที่ไม่คำนึงถึงกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่ออกร่วมกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง