คัดแยกที่ต้นทาง-จุดเริ่มต้นการจัดการ ‘ขยะ’ ที่สมบูรณ์ ตามแนวคิด Circular Economy

เรื่อง “ขยะ” ถูกให้ความสำคัญจากหลายภาคส่วนกันมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยแนวทางหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงในระดับสากลว่าเป็นทางออกสำคัญที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนคือ การจัดการขยะตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

อย่างไรก็ตามการที่จะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ จำเป็นต้องมีการจัดการและเเยกขยะอย่างถูกวิธีตั้งแต่ต้นทาง เพื่อให้ง่ายสำหรับการนำไปผ่านกระบวนการต่างๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม

แต่ทราบหรือไม่ว่าในประเทศไทยเอง ภาคประชาชนในหลายชุมชนได้ตื่นตัวและลุกขึ้นมาจัดการ “ขยะต้นทาง” อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้เกิดวงจรการจัดการขยะที่สมบูรณ์

ตัวอย่างของ ระยอง ความร่วมมือของเครือข่าย บ้าน วัด โรงเรียน หรือ “บวร” เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกและสร้างพฤติกรรมนำขยะมาหมุนเวียนต่อยอดคุณค่า เป็นจุดเริ่มต้นของต้นแบบ Circular Community

บุษบา ธนาภรณ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนโขดหินมิตรภาพที่ 42 จ.ระยอง เปิดเผยว่า ทางโรงเรียนได้ร่วมกับวัดและชุมชนในการสร้างคุณค่าให้ขยะ เช่น ถังขยะในโรงเรียนทุกใบทำมาจากถังสังฆทาน โดยแยกเป็นถังขยะ 4 ประเภท ได้แก่ ไม้ พลาสติก กล่องนม และกระดาษ โดยเด็กๆ จะแยกขยะตั้งแต่ในห้องเรียน เพื่อให้สามารถนำมารีไซเคิลเป็นของใช้ได้อย่างสะดวก

การรีไซเคิล เช่น กล่องนม นำมาแปรรูปเป็นโต๊ะเก้าอี้ของนักเรียนอนุบาล หมวก และพัด ส่วนไม้ไอศกรีม นำมาทำสื่อการเรียน และกระดาษ จะนำมาปั่นแล้วทำเปเปอร์มาเช่เป็นหมวกเทวดา แล้วนำกลับไปถวายวัดเพื่อใช้ในเทศกาลต่างๆ หรือแม้แต่การนำเศษอาหารมาทำปุ๋ย สำหรับปลูกต้นไม้ในโรงเรียนและชุมชน

ขณะเดียวกัน ภายในโรงเรียนได้มีนโยบายเป็นโรงเรียนปลอดขยะ โดยร่วมกับธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี จ.ระยอง ปลูกฝังจิตสำนึกและสอดแทรกปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการส่งเสริมให้เด็กๆ ตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 ถึงประถมศึกษาปีที่ 6 รู้จักการซ่อมแซมของใช้ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ เครื่องตัดหญ้า คอมพิวเตอร์ เพื่อลดนิสัยบริโภคนิยม หยุดใช้โฟม ลดการใช้ถุงพลาสติก และรณรงค์ให้ใช้ถุงผ้าเพื่อลดขยะต้นทาง

สำหรับ ราชบุรี การเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ของชุมชนนั้นไม่ง่าย แต่เมื่อเห็นประโยชน์ว่าทำแล้วช่วยลดปัญหาสุขภาพของชุมชนได้จริง จึงนำไปสู่การเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างยั่งยืน

สนั่น เตชะดี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 บ้านรางพลับ ต.กรับใหญ่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ระบุว่า ในอดีตพื้นที่ชุมชนมีขยะเยอะ ถังขยะจึงเยอะมากเช่นกัน และได้นำมาซึ่งปัญหาต่างๆ เช่น โรคไข้เลือดออก ในปี 2556

ต่อมาชุมชนจึงได้เริ่มขับเคลื่อนโครงการขยะ ร่วมกับกองสาธารณสุขสิ่งแวดล้อมภาค 8 กองสาธารณสุขของเทศบาลตำบลกรับใหญ่ และบริษัท สยามคราฟท์อุตสาหกรรม จำกัด ในธุรกิจแพคเกจจิ้ง เอสซีจี ซึ่งในช่วงแรกกลับมีการต่อต้านจากชุมชน ด้วยเพราะความคิดเห็นที่แตกต่างกัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อทำแล้วเห็นถึงประโยชน์ ทำให้ชุมชนเกิดความร่วมมือทั้งหมู่บ้านกว่า 300 ครัวเรือน โดยแต่ละครัวเรือนจะแยกขยะเพื่อนำไปทำประโยชน์ต่อ เช่น นำเศษอาหารไปทำปุ๋ยหมักเพื่อปลูกผักปลอดภัย และส่งจำหน่ายในชุมชนใกล้เคียงช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน ส่วนกล่องนม ถุงน้ำยาปรับผ้านุ่ม นำไปทำหมวก แก้วน้ำและขวดพลาสติก นำไปใช้ปลูกต้นไม้

ส่งผลให้ชุมชนแห่งนี้ กลายเป็นต้นแบบของชุมชนขนาดใหญ่ที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 จากการเข้าประกวดโครงการชุมชนปลอดขยะ (Zero Waste) ของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ต่อเนื่อง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2559-2561 ขณะที่ชุมชนอยู่กันอย่างมีความสุข ไร้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและโรคไข้เลือดออก

ตัดภาพมาที่ ลำปาง ด้วยความเชื่อว่าการเริ่มต้นด้วยการทิ้งอย่างถูกต้อง ขยะจะถูกนำไปสร้างคุณค่าได้ใหม่ จึงเกิดการส่งเสริมให้ชุมชนแยกขยะ นั่นด้วยเพราะว่า “ขยะคือทองคำ”

“ที่บ้านแป้นโป่งชัยไม่มีการทิ้งขยะแล้ว เพราะได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานที่เชียงใหม่ด้านการจัดการขยะ จึงกลับมาสร้างความเข้าใจกับชุมชนว่า การจัดการขยะไม่ใช่หน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง ทุกคนต้องช่วยกันรับผิดชอบ และไม่ใช่เพียงผู้นำหรือเทศบาลเท่านั้นที่ลุกขึ้นมาแก้ปัญหา” วินัย สายแปง ผู้ใหญ่บ้านแป้นโป่งชัย หมู่ที่ 9 อ.แม่ทะ จ.ลำปาง กล่าว

เขาระบุว่า นับจากวันนั้นชุมชนได้ลงมติให้มีการคัดแยกขยะครัวเรือน ผ่านโครงการธนาคารขยะรีไซเคิล ของเทศบาลตำบลบ้านสา และเอสซีจี เพื่อให้เหลือขยะสำหรับทิ้งน้อยที่สุด ผ่านวิธีการต่างๆ เช่น เศษอาหาร ใบไม้ ใบหญ้า จะไม่เผา เพื่อลดมลพิษ ซึ่งก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ แต่นำมาทิ้งลงใน “เสวียน” คอกรอบต้นไม้ที่สานด้วยไม้ไผ่ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน ทำให้ได้ปุ๋ยหมักธรรมชาติ ช่วยให้ดินมีความชุ่มชื้นอยู่ตลอด ไม่ต้องรดน้ำ และช่วยให้ผลไม้มีรสชาติหวานขึ้น

ส่วนขยะรีไซเคิลที่คัดแยกไว้ ก็สามารถนำมาทำเป็นตะกร้า พัด หมวก เพิ่มมูลค่าให้เศษขยะ หรือขายเป็นรายได้เสริม โดยปีที่ผ่านมาทั้งหมู่บ้านสามารถขายขยะได้รวมกันกว่า 63,000 บาท ส่วนขยะอันตรายจะนำไปแลกไข่ไก่กับเทศบาลตำบลบ้านสา

จากความร่วมมือดังกล่าว ทำให้บ้านแป้นโป่งชัยแห่งนี้ ได้รับรางวัลชนะเลิศการคัดแยกขยะ 4 ปีซ้อนจากเทศบาลตำบลบ้านสา จนปัจจุบันเมื่อชาวบ้านขี่รถไปเจอขวดแก้ว พลาสติกที่ใดก็จะต้องหยุดเก็บ เพราะขยะเป็นทองคำไปเสียแล้ว

นภปนนท์ สุรินทร์โท ปลัดเทศบาลตำบลบ้านสา อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง เสริมว่า สิ่งสำคัญคือการต้องให้ความรู้กับชุมชนต่อ ว่าการขายขยะโดยไม่คัดแยกจะทำให้ถูกกดราคาลง เช่น ขวดแก้ว 12 ขวด สามารถขายได้ 4 บาท แต่ถ้ามีการคัดแยกจะสามารถขายได้ 8 บาท เรียกว่ามากกว่า 1 เท่า ชุมชนจึงเริ่มเห็นคุณค่าของการแยกขยะ โดยเทศบาลฯ ส่งเสริมให้คัดแยกขยะเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ขยะรีไซเคิล ขยะอันตราย ขยะอินทรีย์ และขยะทั่วไป

ขณะเดียวกันยังได้มีการจัดตั้งโรงแยกขยะ “ศูนย์จัดการวัสดุที่ไม่ใช้อย่างมีส่วนร่วมของเทศบาลตำบลบ้านสา” ซึ่งร่วมกับเอสซีจี ในการนำขยะที่ชุมชนไม่สามารถนำไปหมุนเวียนใช้ประโยชน์ได้ ไปทำเป็นเชื้อเพลิง RDF (Refuse Derived Fuel) สำหรับใช้ในกระบวนการผลิตของเอสซีจี ซึ่งนอกจากจะช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยให้ชุมชนมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย

เมื่อขยะเป็นปัญหาระดับประเทศ การแก้ไขให้ได้ประโยชน์และไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงต้องเริ่มต้นทำความเข้าใจว่าปัญหาต่าง ๆ เป็นปัญหาส่วนรวม และต้องเกิดจากทำงานอย่างจริงจัง ซึ่ง เอสซีจี ได้เดินหน้าสนับสนุนให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การจัดการขยะตั้งแต่ต้นทางตามแนวปฏิบัติ SCG Circular Way โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชนเป็นหัวใจสำคัญ

รวมไปถึงการสร้างเครือข่ายให้เกิดพลังที่เข้มแข็ง เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดวงจรการจัดการขยะที่สมบูรณ์ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนความยั่งยืนให้ประเทศ และสร้างโลกที่น่าอยู่สำหรับคนรุ่นต่อไป