ตำรวจ-ทหาร พ้องเสียงป้องเจ้าหน้าที่คดีวิสามัญ “ชัยภูมิ ป่าแส” ยิงป้องกันตัว-นักกิจกรรมเอี่ยวยาเสพติดจริง วอนอย่างด่วนตัดสิน ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เปิดเผยภายหลังการประชุมติดตามความคืบหน้าคดีทหารวิสามัญฆาตกรรม นายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชนเผ่าลาหู่ เมื่อวันที่ 28 มี.ค.2560 ว่า จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้ตายที่ระบุว่าได้มาจากการขายกาแฟออนไลน์แล้ว พบว่ามีเงินหมุนเวียนหลายแสนบาท ซึ่งไม่ใช่บัญชีสำหรับการค้าขาย แต่เป็นบัญชีที่ทางทางตำรวจมีประสบการณ์ในการปราบปรามยาเสพติด และคงไม่ผิดในเรื่องนี้เพราะมีการยืนยันตามหลักฐานอยู่แล้ว ตนจึงขอยืนยันว่าผู้ตายเกี่ยวข้องกับยาเสพติดแน่นอน
“ไม่ใช่มีแต่นายชัยภูมิ แต่ยังมีผู้เกี่ยวข้องอีกหลายคน ส่วนเรื่องลูกระเบิดที่พบก็ส่งไปยังสรรพาวุธเพื่อตรวจสอบ ซึ่งคงจะมีรายงานมาถึงพนักงานสอบสวนเร็วๆ นี้ ขอเวลาตำรวจในการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ในคดีให้รัดกุมยิ่งขึ้น อย่าไปเร่งการทำงานของพนักงานสอบสวน ทุกอย่างต้องใช้เวลา หากใครมีพยานก็นำมาให้ตำรวจได้ พร้อมที่จะรับข้อมูลทุกด้าน” พล.ต.ท.พูลทรัพย์ กล่าว
พล.ต.ท.พูลทรัพย์ กล่าวอีกว่า ในส่วนขององค์กรสิทธิมนุษยชนที่ออกมาตั้งคำถาม ก็ขอถามกลับว่าทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่ถูกยิงบาดเจ็บ และเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ ก็ควรมาดูเรื่องสิทธิมนุษยชนให้ด้วย
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้สั่งการให้ตำรวจทำงานอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งคดีนี้ไม่น่าหนักใจเพราะเป็นคดีที่ไม่มีความซับซ้อน โดยหลังจากนี้จะเชิญเจ้าหน้าที่ทหารที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้ข้อมูลตามขั้นตอน เนื่องจากที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่มีการจับคดียาเสพติดบ่อยครั้ง และบางครั้งก็มีการต่อสู้ยิงปะทะ เพราะขบวนการค้ายาเสพติดมีการพกพาอาวุธเพื่อต่อสู้อยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาได้รับรายงานว่าผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมและถูกวิสามัญมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด โดยตำรวจอยู่ระหว่างตรวจสอบเส้นทางการเงินและผู้ร่วมขบวนการ
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พนักงานสอบสวนไม่สามารถเปิดเผยภาพจากกล้องวงจรปิดให้กับสาธารณชนได้ เนื่องจากจะมีผลกระทบต่อรูปคดี เพราะเป็นพยานหลักฐานในสำนวนคดี แต่ยืนยันว่าตำรวจจะรวบรวมพยานหลักฐานในทุกมิติ และตรวจสอบอย่างรอบคอบเพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรม ซึ่งที่ผ่านมาทางกองทัพก็ไม่ได้กำชับหรือเข้ามาแทรกแซงการทำงานแต่อย่างใด และเชื่อว่าพนักงานสอบสวนจะรวบรวมพยานหลักฐานได้ทันกรอบเวลา เพื่อสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการ
ขณะที่ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า กรณีที่หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่าเจ้าหน้าที่ทหารทำเกินกว่าเหตุ ตนได้ชี้แจง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ตั้งแต่หลังเกิดเหตุแล้วว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัว โดยตอนนี้คดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วก็เป็นเรื่องพยานหลักฐานของแต่ละฝ่าย
“กองทัพบกพร้อมทำหน้าที่ หากผู้ใต้บังคับบัญชากระทำการเกินกว่าเหตุ ก็ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ชี้แจงนั้น คิดว่าตราบใดที่ศาลยังไม่ได้ตัดสินลงมา ก็ไม่ควรกล่าวหาว่าใครเป็นอย่างไร” พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว
พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ในส่วนของกองทัพภาคที่ 3 ที่ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบภายในเป็นการคู่ขนาน ขณะนี้ได้รายงานผลการสอบสวนเบื้องต้นมาให้ทราบแล้ว แต่ยังไม่ควรพูดเพราะจะเป็นการชี้นำคดี และคิดว่าไม่จำเป็นต้องนำผลสรุปของคณะกรรมการดังกล่าวไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ผบ.ทบ.กล่าวอีกว่า ในส่วนของภาพจากกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐานประกอบคดี จึงขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจะพิจารณาเปิดเผยหรือไม่ ตนไม่มีปัญหา แต่ภาพวงจรปิดไม่ได้ตอบโจทย์ทั้งหมดว่าใช่หรือไม่ใช่อย่างไร ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมดำเนินการไป อย่าใช้กระแส ขอให้สังคมรออีกนิด เนื่องจากเป็นเรื่องของความยุติธรรม
“ส่วนที่แม่ทัพภาคที่ 3 ออกมาระบุว่าถ้าเป็นผมอาจกดออโต้ไปแล้ว เข้าใจว่าที่แม่ทัพภาคที่ 3 พูดแบบนั้น หมายความว่าลูกน้องมีวินัยและฝึกมาดีจึงยิงไปแค่นัดเดียว ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีคดีก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นลักษณะคล้ายกัน ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อพิสูจน์ทราบ หากเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุทางเจ้าหน้าที่ก็ต้องรับผิดชอบ” พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวว่า เรื่องการเปิดภาพจากกล้องวงจรปิดคิดว่าอยู่ในขั้นตอนของฝ่ายกฎหมายที่กำลังดำเนินการอยู่ ถือเป็นวัตถุพยานที่จะต้องไปหาข้อเท็จจริง จึงอย่าเพิ่งตัดสินอะไร และการนำมาเปิดเผยก่อนไม่น่าจะได้เพราะจะกระทบกับการพิจารณาคดี ส่วนเจ้าหน้าที่หากผิดก็ต้องลงโทษ กฎหมายว่าอย่างไรก็ตามนั้น